เกรซ นรินทร เปิดใจหลังประกวด Miss World 2019 จุดเปลี่ยนในชีวิต
เกรซ นรินทร เปิดใจหลังประกวด Miss World 2019 จุดเปลี่ยนในชีวิต
จบการแข่งขันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับเวทีการประกวด Miss World 2019 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา และผู้ที่ชนะเลิศเป็นสาวงามคนที่ 69 ไปครองในปีนี้ ก็คือ Toni-Ann Singh วัย 23 ปี นางงามผิวสี จากประเทศจาเมกานั่นเอง
สำหรับ เกรซ นรินทร ชฎาภัทรวรโชติ ตัวแทนจากประเทศไทย ก็ได้เข้ารอบลึก 40 คนสุดท้ายจากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 114 ประเทศ ถือว่าทำได้ดีมากๆ หลังจากจบการประกวดเกรซเองก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ Grace Narintorn เปิดใจถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในการเป็นนางงาม มีใจความว่า
จุดเปลี่ยน.. ที่ผ่านมาเกรซไม่เคยได้เขียนหรืออธิบายเรื่องราวเลย ทุกๆคนจึงจะเห็นเกรซอยู่ในโทรทัศน์บ้าง รูปภาพ หรือสื่อต่างๆที่อาจจะไม่ได้สะท้อนถึงตัวตนของเกรซในหลายๆด้าน แต่หลังจากการประกวดที่ผ่านมา #แป้น ยอมรับเลยว่า มันเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตมากจริงๆ ในทุกๆวันหลังจากได้รับมงกุฎที่ไทย เราเติบโตขึ้นมากทั้งจากเสียงคำชม และส่วนมากคือ เสียงคำตำหนิแน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยในการประกวดครั้งแรกในชีวิต โดยที่เราไม่ได้ตั้งความหวังมากมาย แค่อยากให้โครงการเราเป็นที่รู้จัก จะตามมาด้วยโอกาสที่มีค่าในชีวิตเราได้มากมาย และตามมาด้วยความกดดัน รวมถึงความไม่เข้าใจ…
เราไม่เคยมานั่งบอกว่า เราเก่งด้านไหน ถนัดอะไร หรือปฏิเสธคำพูดของใคร เพราะเราเชื่อว่า ทุกคนมีอิสระและเสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงเรารู้ว่า เราไม่สามารถทำให้ทุกคนรักในแบบที่ “เราเป็นเรา” เกรซร้องไห้เกือบทุกวันนะหลังจากได้รับตำแหน่ง จากเด็กคนหนึ่งที่มีชีวิตธรรมดา ใช้ชีวิตมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองมี แต่พอคนรู้จักเรามากขึ้น สิ่งที่เรารัก ความเป็นเรา มันกลับผิด แย่ ไม่ดี มีการใช้คำหยาบคายมากมาย ทั้งๆที่คุณไม่ได้รู้จักเราจริงๆเลยด้วยซ้ำ เพียงเพราะ…เรา “หน้าใหญ่” และยังมีกระแสล็อคมงอีก เรายังเคยคิดเลยว่า ถ้าเราล็อคมงจริง เราคงไม่มานั่งร้องไห้ขนาดนี้หรอก แต่ไม่มีใครรู้ เพราะเราไม่เคยบอก..
หลังจากปฏิบัติงานต่างๆ ออกรายการ สัมภาษณ์ ก็โดนคำถามบ่อยมาก เรื่องโดนบูลลี่ หน้าใหญ่ คิดยังไงกับการล็อคมง เอาจริงๆ เราก็แค่เด็กคนนึง อายุ 21 ยิ่งเจอบ่อยๆยิ่งตอกย้ำถึงความไม่มีคุณค่าของตัวเอง จนเราเกือบที่จะยอมแพ้… แต่..มีวันหนึ่งที่เรากลับมาฮึดสู้อีกครั้ง คือ วันที่เราเห็นแม่เราร้องไห้ ใช่ค่ะ ร้องไห้แบบเงียบๆเพราะกลัวหนูจะได้ยิน หนูแอบมองแม่อยู่นานมาก สงสัยว่า คนที่เข้มแข็งและเป็นต้นแบบคอยให้กำลังใจเราทุกวันทำไมถึงร้องไห้หนักขนาดนั่น เหลือบไปเห็น สิ่งที่อยู่ในมือแม่คือ โทรศัพท์ และ “ข้อความที่คนเขียนตำหนิหนู” ตั้งแต่วันนั้นเราเลยตั้งเป้าหมายเลยว่า ทำยังไงก็ได้ให้คนหันมา เปลี่ยนจากเกลียดเป็นรักเรา รักในแบบที่เราเป็น ให้ครอบครัวเราภูมิใจ และเราจะต้องไม่เห็นน้ำตาจากแม่หรือพ่อเราอีก เพราะเราถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว.
หลังจากนั้นเกรซใช้กำลังใจจากครอบครัว เพื่อน พี่ทีมงานและแฟนคลับบางกลุ่มมาเป็นพลังบวก ตั้ง #ทีมแป้น ขึ้นมาเองให้คนจำเราได้ ถึงแม้ตอนแรกจะไม่ชอบก็ตาม และเริ่มเปลี่ยนจากความเครียด กดดัน มาเป็นแรงผลักดันให้เราทำโครงการของเราต่อ เพราะเกรซเชื่อจริงๆนะว่า ถ้าเราทำดี ทุกอย่างมันเห็นผล โดยไม่ต้องมานั่งอธิบาย กระแสก็เริ่มดีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีคนคอยตามตำหนิบ้าง ไดเร็คไอจีมาก็เคย555555 เราเก็บมานะ แต่เราเอามาพัฒนาตัวเอง
แอบไปจิ้มแก้มให้หน้าเล็ก คนจะได้รู้สึกดีกับเราบ้าง พยายามลดน้ำหนัก ฝึกทุกอย่างแต่งหน้า ทำผม เดินแบบให้ดีขึ้น โดยที่เราก็เรียนไปด้วย เราอ่านหนังสือสอบแทบทุกที่ที่เราไปทำงาน เราออกงานตอน 8 โมงเช้า แต่งหน้าตี 5 และขับรถกลับมานำเสนองานต่อ ขนาดเรากำลังจะมาอังกฤษ เรายังพรีเซนต์ไฟนอลวิจัยก่อนเลยมันหนักมากนะ และยิ่งหนักเมื่อสิ่งที่เราทำไป คนกลับไม่เห็นอะไรเลย. การที่เรามาได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะเราเรียนจิตวิทยา เราทิ้งมันไม่ได้ มันมีค่าสำหรับเรามาก หลังจากเราทำโครงการ คนเริ่มหันมาสนใจมากขึ้น จากตอนแรกที่ไม่ค่อยสนใจ ทำให้เราดีใจมากที่คนเริ่มหันมามองทางเรื่องสุขภาพจิต และใช้การ “ฟัง” มากกว่าการ “พูด” และแล้วก็มาถึง
เมื่อแป้นได้มาประกวดที่อังกฤษยอมรับเลยว่า ตื่นเต้นมาก เพราะเราต้องทำทุกอย่างคนเดียว แต่เราคิดว่า เราอยากทำทุกอย่างให้เต็มที่ที่สุด เพราะเราไม่อยากให้คนที่เรารักผิดหวัง ครอบครัว ทีมงานที่คอยปกป้องและดูแลเรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็น พี่โก้ พี่โอ๋ พี่อั้ม พี่เบส พี่จ๊ะ พี่บอลลี่ พี่อ้อ พี่โป้ง และคนอื่นอีกหลายคน รวมถึงพี่ๆช่างแต่งหน้า แม่ป้อมวินิจ แม่อ๊อด ที่คอยพิมพ์มาหาและดูการแต่งหน้าให้เสมอ ที่สำคัญคือ กำลังจากคนไทยที่มีมากขึ้น จนวันที่แป้นรู้สึกมีความสุขก็มาถึง คือ รอบของ Head to head ถึงแม้แป้นจะไม่ชนะ แต่แป้นสามารถชนะใจใครหลายคนที่เคยไม่ชอบแป้นได้ โดยที่แป้นเป็นตัวของแป้นเอง ดีใจมากจริงๆ ที่ทุกคนหันมามองเรามากขึ้น หลังจากนั้นกำลังใจมาเต็มมากค่ะ ไม่เคยได้รับข้อความบวกมากขนาดนี้ จนมาถึงตอนนี้วันไฟนอล ถามว่า แป้นเสียใจไหม แป้นเสียดายที่ทำให้คนไทยไม่ได้ตามที่หวัง แต่แป้นไม่เสียใจเลย เพราะเราได้เรียนรู้อะไรมากมาย และเราตั้งใจทำทุกวันมาก สิ่งที่เราได้กลับมาคือ การเติบโต
เติบโตที่จะอยู่ในท่ามกลางทั้งเสียงชมและตำหนิ
เติบโตจากการที่ร้องไห้ในทุกๆวัน ไม่อยากออกสื่อ ไม่อยากทำอะไร เพราะ ไม่อยากโดนว่าอีก
เติบโตเมื่อเห็นคนอื่นสู้ไปกับเรา ทุ่มเทให้กับเรา ร้องไห้ไปกับเรา
และเติบโตจากคำแนะนำจากคนที่คอยเป็นกำลังใจให้เรามาตลอด
แป้นไม่ใช่คนสวย แป้นไม่ได้เพียบพร้อม แต่มนุษย์ทุกคนมีทั้งข้อดีข้อเสียค่ะ สิ่งที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ คือ การที่เรามองเห็นถึงด้านบวกของเขามากกว่าจะไปมองแต่ด้านลบ เพราะชีวิตเรามีแค่ชีวิตเดียว “อย่าให้ใครมาทำร้ายชีวิต โดยเฉพาะความคิดของคุณเอง” หวังว่าเรื่องราวที่แป้นแชร์ในวันนี้จะเป็นข้อคิดสำหรับคนที่ถูกบูลลี่ และกำลังบูลลี่คนอื่นอยู่นะคะ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า คำพูดของคนเรามันทำร้ายจิตใจใครมากขนาดไหน
ถ้าแป้นไม่ได้เรียนจิตวิทยามาและไม่มีคนรอบข้างคอยให้กำลังใจ แป้นก็ไม่รู้เลยว่า แป้นจะเป็นยังไง และนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าเป็นคนอื่นที่เขาโดนบูลลี่อยู่ เขาจะรู้สึกแย่ขนาดไหน ดังนั้นหยุดเถอะนะคะ :): เรามาทำให้ชีวิตของเราเองมีความสุขดีกว่า เอาความเป็นอิสระเสรี และโลกของอินเทอร์เน็ตไปใช้ให้ถูกทางโดยที่ไม่ต้องทำร้ายใครดีกว่า ขอบคุณนะคะที่คอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจเสมอ ตอนอยู่หลังเวทีถอดถุงเท้ามาเพื่อนตกใจ เลือดเต็มถุงเท้าเลย เพราะเราซ้อมเดิน ทั้งรองเท้าและชุดมันบาด แต่เรามีกำลังใจเราถึงไปต่อได้ แป้นรักทุกคนนะ หวังว่าทุกคนจะเห็นความพยายามทั้งหมดของแป้น
14 ธันวาคม 2562 #ยาวไปหน่อยแต่มาจากใจนะ #เด็กเรียนได้มง #น้องนก #ล็อคมง #หน้าบานเป็นกระด้ง #ทีมแป้น
ภาพจาก: IG@gracenarintorn