ทัพเรือภาคที่ 3 แถลงความสำเร็จย้ายบ้านลอยน้ำเข้าฝั่ง เตรียมขอหมายจับ
ทัพเรือภาคที่ 3 แถลงความสำเร็จย้ายบ้านลอยน้ำเข้าฝั่ง คดีคืบหน้ารวบรวมพยานหลักฐานส่งอัยการแต่งตั้งพนักงานสอบสวนร่วมก่อนขอออกหมายจับ พบสองสามีภรรยาเจ้าของบ้านลอยน้ำเคลื่อนไหวล่าสุดที่เกาะตะรูเตา เชื่อยังอยู่ในประเทศ
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (23 เม.ย.) ที่ท่าเทียบเรือน้ำลึกภูเก็ต พลเรือตรี สิทธิพร มาศเกษม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.ภาค 3) พร้อมด้วย นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.วิศาล พันธุ์มณี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ตัวแทนจาก กสทช.เจ้าท่าภูเก็ต ศุลกากร ประมง ผกก.สภ.วิชิต กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และหน่วยงานที่ร่วมปฏิบัติการ ร่วมกันแถลงข่าวการเคลื่อนย้ายบ้านลอยน้ำ ตามแนวคิดของกลุ่ม Seasteading ที่นำมาติดตั้งบริเวณนอกชายฝั่งจังหวัดภูเก็ต ที่บริเวณละติจูด 7 องศา 29.37 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 34.81 ลิปดาตะวันออก หรือ บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะราชาใหญ่ 14 ไมล์ทะเล หรือ ประมาณ 22 กิโลเมตร ภายหลังจากทัพเรือภาคที่ 3 ได้นำกำลังพล และเรือหลวง 3 ลำ ซึ่งประกอบด้วย เรือหลวงศรีราชา เรือหลวงมันใน เรือหลวงริ้น เข้าปฏิบัติการรื้อถอนและเคลื่อนเข้ากลับเข้าฝั่งภูเก็ต ที่ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ของวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อให้พนักงานสอบสวน สภ.วิชิต และเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบและเก็บหลักฐาน เนื่องจากบ้านลอยน้ำเป็นวัตถุพยานที่สำคัญในการดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิด ตามที่ทัพเรือภาคที่ 3 ได้แจ้งความดำเนินคดีกับชาวต่างชาติและภรรยาคนไทย ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 ไว้ก่อนหน้านี้แล้
พลเรือตรี สิทธิพร มาศเกษม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 และผู้อำนวยการ ศรชล.เขต 3 กล่าวว่า ภายหลังจากที่ชาวต่างชาติ คือ นายเชด แอนดริว เอลวอทอวสกี้ ชาวอเมริกัน และภรรยาคนไทย คือ น.ส.สุปรานี เทพเดช หรือ นาเดีย ได้ประกาศความสำเร็จในการติดตั้งบ้านลอยน้ำในเขตน่านน้ำใกล้เกาะภูเก็ต พร้อมทั้งมีการประกาศชักชวนให้ผู้ที่มีแนวคิด Seasteading เข้ามาอยู่อาศัยเพื่อประกาศเป็นรัฐอิสระ ทางทัพเรือภาคที่ 3 ได้เข้าตรวจสอบและพบว่าบ้านลอยน้ำตั้งอยู่ในเขตทะเลต่อเนื่องของประเทศไทย ห่างจากเกาะราชาใหญ่ 14 ไมล์ทะเล รวมทั้งอยู่ในเส้นทางเดินเรือ และบ้านลอยน้ำอยู่ในสภาพที่ไม่แข็งแรง จึงได้แจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.วิชิต ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 และเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้เข้าปฏิบัติการรื้อถอน ซึ่งการปฏิบัติการดังกล่าวได้ใช้กำลังพลจากกองโรงงาน ทัพเรือภาคที่ 3 หน่วยปฏิบัติการพิเศษใต้น้ำ เรือหลวงศรีราชา เรือหลวงมันใน เรือหลวงริ้น สามารถรื้อถอนและเคลื่อนย้ายมายังท่าเรือน้าลึกภูเก็ต เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ของวันเดียวกัน และมอบหมายให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต เป็นผู้ดูแลวัตถุพยานดังกล่าว ซึ่งผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของ สามารถมาตรวจสอบทรัพย์สินได้ เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อไป
“การปฏิบัติการในครั้งนี้ของทุกหน่วยงานเป็นการแสดงออกถึงความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่จะไม่ให้ใครมาย่ำยีหรือรุกรานอธิปไตยของชาติโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ในส่วนของ ศรชล ภาค 3 รับผิดชอบในการดำเนินการด้านกฎหมายที่รับผิดชอบในการแจ้งความร้องทุกข์ ขอยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับผู้ที่จะใช้ประเทศไทยแสวงหาประโยชน์” ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 กล่าวและว่า
อยากจะฝากถึงพี่น้องประชาชนให้ช่วยเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นสิ่งผิดปกติหรือต้องสงสัยที่เกิดขึ้นในทะเลที่จะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ขอให้แจ้งให้ ศรชล ภาค 3 หรือ หน่วยงานศรชล ภาค 3 รวมทั้งจังหวัดในพื้นที่ชายฝั่งทะเลได้ตลอดเวลา เพื่อที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้เข้าไปแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
สำหรับค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการปฏิบัติการรื้อถอนและเคลื่อนย้ายวัตถุลอยน้ำเข้าฝั่งนั้น มีเฉพาะในส่วนของค่าน้ำมันและค่าเบี้ยเลี้ยงกำลังพล ซึ่งในส่วนนี้สามารถที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากผู้กระทำผิดได้หลังจากนี้
ด้าน นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ในส่วนของจังหวัดภูเก็ต ได้มีการดำเนินการตรวจสอบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในพื้นที่บนบกเกี่ยวกับคดีนี้ ทั้งในส่วนของโรงงานที่ผลิตวัตถุลอยน้ำ หรือ บ้านลอยน้ำหลังดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบของอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต พบว่ามีการเปิดโรงงานโดยไม่มีใบอนุญาต การตรวจสอบในส่วนของสถานประกอบการดังกล่าวว่าเป็นการเช่าหรือไม่อย่างไร การตรวจสอบการขุดลอกแอ่งน้ำเพื่อชักลากบ้านลอยน้ำออกสู่ทะเลได้มีการขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ โดยได้มอบหมายให้ อบต.ไม้ขาว เป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมทั้งได้มอบหมายให้นายอำเภอทั้ง 3 อำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตรวจพื้นที่ทั้งหมดว่ามีโรงงานผลิตบ้านลอยน้ำในลักษณะดังกล่าวหรือไม่ นอกจากนี้ได้มอบหมายให้ทางสำนักงานทะเบียนธุรกิจการค้าตรวจสอบการจดทะเบียนบริษัทของบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ
ขณะนี้ พล.ต.ต.วิศาล พันธุ์มณี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับชาวต่างชาติ และ ภรรยาคนไทย ว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวน สภ.วิชิต ได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อขออนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดแต่งตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมาร่วมสอบสวนในคดีนี้ ความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 119 ซึ่งคดีนี้เกิดขึ้นนอกเขตราชอาณาจักร อัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน คาดว่าในเร็วๆนี้ทางอัยการสูงสุดจะมีการแต่งตั้งพนักงานสอบสวนมาดำเนินคดี และหลังจากนั้นจะสามารถขอออกหมายจับทั้งสองคนได้ เพราะขณะพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานได้พร้อมแล้ว
โดยในส่วนของตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ได้แต่งตั้งคณะทำงานในคดีนี้ โดยมี พ.ต.อ.วิทูรย์ กองสุดใจ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ขณะนี้ได้มีการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของโรงานผลิตและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ไปบางส่วนแล้ว ส่วนตัวของผู้ต้องหาทั้งชาวต่างชาติและภรรยาคนไทยนั้น จากการติดตามตัวพบว่ามีการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายเมื่อเร็วๆนี้ ที่เกาะตะรูเตา จ.สตูล และเชื่อมั่นว่าทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกัน และยังไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด ขณะนี้อยู่ระหว่างการบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ในการติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
“จากพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอยู่ในขณะนี้ เชื่อว่าจะสามารถขอออกหมายจับและดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน พนักงานสอบสวนได้มีการข้อมูลเพื่อตรวจสอบในเรื่องของเฟสบุ๊ก และเว็ปไชด์ กับทางกองบังคับการการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) รวมทั้งพนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่คาดว่าจะมีการกระทำความผิด ไม่ว่าจะในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรม พ.ร.บ.การเดินเรือ สถานประกอบการ การขุดดินถมดินเพื่อทำร่องน้ำ ฯลฯ เพื่อที่จะดำเนินคดีไปพร้อมๆกัน ทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง