ทรัมป์ เตือน หญิงท้อง กินยาไทลินอล เสี่ยงลูกออทิสติก งัดงานวิจัยโต้ จริงหรือมั่ว

จริงหรือ? ทรัมป์ เตือนกินไทลินอลตอนท้อง เสี่ยงออทิสติก เปิดผลวิจัยล่าสุดในเด็ก 2.5 ล้านคน สรุปข้อมูลสำคัญที่แม่ต้องรู้
จากกรณี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ประกาศว่ารัฐบาลจะออกคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) ซึ่งเป็นตัวยาในไทลินอล (Tylenol) ระหว่างตั้งครรภ์ อ้างถึงข้อกังวลเรื่องความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคออทิสติก
“การกินไทลินอลมันไม่ดี ผมจะพูดเลยว่ามันไม่ดี” ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (22 ก.ย.) โดยมีเคนเนดี และเมห์เมต ออซ ผู้อำนวยการศูนย์บริการเมดิแคร์และเมดิเคด (CMS) ยืนอยู่เคียงข้าง ทรัมป์กล่าวว่าหญิงตั้งครรภ์ควรใช้ไทลินอลก็ต่อเมื่อมีไข้ ป่วยจน “ทนไม่ไหว” เท่านั้น
ภายใต้นโยบายใหม่นี้ องค์การอาหารและยา (FDA) จะปรับปรุงฉลากความปลอดภัยของยาอะเซตามิโนเฟน โดยแนะนำให้จำกัดการใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงในทารกและเด็กเล็ก นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขฯ จะเปิดตัวแคมเปญรณรงค์ทั่วประเทศเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ทำเนียบขาวยังได้แนะนำให้ใช้ยาลิวโควอริน (leucovorin) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของโฟเลต เป็นแนวทางการรักษาโรคออทิสติก โดยโครงการเมดิเคดจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายยานี้สำหรับการรักษาออทิสติก และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) จะเริ่มการทดลองเพื่อวิจัยผลของยาลิวโควอริน พร้อมทั้งลงทุน 50 ล้านดอลลาร์ในการวิจัยโรคออทิสติก
อย่างไรก็ตาม หลังมีแถลงออกไป ก็ได้มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ออกมาโจมตีคำพูดนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าขาดความน่าเชื่อถือ เพราะอ้างผลงานวิจัยแบบจำกัดและไม่ชัดเจน
ปัจจุบัน ไทลินอลเป็นหนึ่งในยาแก้ปวดลดไข้ที่หาซื้อได้เองเพียงไม่กี่ชนิดที่ถือว่าปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ แม้ว่าสูตินรีแพทย์จะเตือนผู้ป่วยอยู่เสมอว่าไม่ควรใช้ยาในระยะยาว
วุฒิสมาชิก บิล แคสซิดี จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการด้านสุขภาพ การศึกษา แรงงาน และเงินบำนาญของวุฒิสภา (HELP) เรียกความเชื่อมโยงระหว่างไทลินอลกับออทิสติก ว่าเป็น “เรื่องที่ไม่มีมูล” แคสซิดีได้โพสต์ข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) เรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตน
สมาคมเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (SMFM), วิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งอเมริกา (ACOG), มูลนิธิวิทยาศาสตร์ออทิสติก (Autism Science Foundation) และแม้แต่ FDA เองต่างระบุว่าอะเซตามิโนเฟนปลอดภัยสำหรับใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเว็บไซต์ของ FDA ระบุเมื่อเช้าวันจันทร์ ก่อนการประกาศของเคนเนดีว่า “จนถึงปัจจุบัน FDA ยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่าการใช้อะเซตามิโนเฟนอย่างเหมาะสมระหว่างตั้งครรภ์ก่อให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์ การคลอด พฤติกรรมทางระบบประสาท หรือพัฒนาการของทารก”
สตีเวน เจ. เฟลชแมน ประธานวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งอเมริกา (ACOG) กล่าวว่าตรรกะของรัฐบาลทรัมป์นั้น “เรียบง่ายอย่างอันตราย” และเพิกเฉยต่องานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก “เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งที่หน่วยงานสาธารณสุขของรัฐบาลกลางเต็มใจที่จะประกาศเรื่องที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนนับล้านโดยปราศจากข้อมูลที่น่าเชื่อถือสนับสนุน” เฟลชแมนกล่าว

งัดงานวิจัยโต้ ยาไทลินอล เสี่ยงเด็กเป็นออทิสติก จริงหรือมั่ว
อ้างอิงจากงานวิจัยเรื่อง “การใช้อะเซตามิโนเฟนในระหว่างตั้งครรภ์และความเสี่ยงของเด็กต่อภาวะออทิสติก สมาธิสั้น และความบกพร่องทางสติปัญญา” (Acetaminophen Use During Pregnancy and Children’s Risk of Autism, ADHD, and Intellectual Disability) ในสวีเดนติดตามเด็กเกือบ 2.5 ล้านคน ใช้ข้อมูลเปรียบเทียบพี่น้องท้องเดียวกัน พบว่าความเชื่อมโยงที่เคยเชื่อกันอาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมและสุขภาพของแม่ ไม่ใช่ผลจากยาโดยตรง
งานวิจัยนี้เผยแพร่เมื่อปี 2024 ถือเป็นงานวิจัยที่เก็บติดตามกลุ่มตัวอย่างเยอะที่สุดเท่าที่เคยศึกษามา ช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2019 สรุปว่าการใช้ยา อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ พาราเซตามอล ระหว่างตั้งครรภ์ ไม่มีความเชื่อมโยงที่เป็นสาเหตุ กับการเพิ่มความเสี่ยงที่ลูกจะเกิดมาเป็นโรคออทิสติก, สมาธิสั้น (ADHD) หรือมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
ที่ผ่านมา มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาพาราเซตามอลของแม่กับการเกิดภาวะผิดปกติทางพัฒนาการของสมองในเด็ก ทำให้เกิดความกังวลในหมู่สตรีมีครรภ์ แต่งานวิจัยเหล่านั้นอาจมีข้อจำกัดจาก “ปัจจัยกวน” (Confounding Factors) ซึ่งเป็นตัวแปรอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริง
ความพิเศษของงานวิจัยชิ้นนี้ คือการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ที่เรียกว่า “การควบคุมโดยเปรียบเทียบพี่น้อง” นักวิจัยได้เปรียบเทียบข้อมูลของเด็กที่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ซึ่งมีแม่คนเดียวกัน วิธีนี้จะช่วยขจัดอิทธิพลของปัจจัยกวนที่พี่น้องมีร่วมกันได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรมของครอบครัว หรือ สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู
นักวิจัยพบว่า เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลประชากรทั้งหมดโดยไม่ได้เปรียบเทียบพี่น้อง จะเห็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้า
แต่เมื่อนำเทคนิคการเปรียบเทียบพี่น้องมาใช้ ผลลัพธ์กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยพบว่า ความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาพาราเซตามอลกับความเสี่ยงของทั้งสามโรคได้หายไปทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้ยาในปริมาณน้อยหรือมากก็ตาม

แล้วอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง?
ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ความเชื่อมโยงที่เคยพบในงานวิจัยอื่นๆ อาจไม่ได้เกิดจากตัวยาพาราเซตามอลโดยตรง แต่อาจมาจากปัจจัยอื่นที่ซ่อนอยู่ เช่น แม่ที่ต้องใช้ยาพาราเซตามอล อาจมีภาวะป่วยอื่นๆ เช่น การติดเชื้อ, มีไข้, ไมเกรน หรือโรคประจำตัว ซึ่งภาวะเหล่านี้เองที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อพัฒนาการทางสมองของทารก หรือ พันธุกรรมและสุขภาพของแม่ สุขภาพโดยรวมและปัจจัยทางพันธุกรรมของพ่อแม่ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคทางพัฒนาการของสมองในเด็ก
เรียบเรียงและแปลผลงานวิจัยจาก : jamanetwork
ติดตาม The Thaiger บน Google News: