ด่วน ศาลปกครองชี้ขาด สภากาชาดไม่ผิด ปมปฏิเสธรับเลือด LGBTQ+ ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ

ศาลปกครองกลางชี้ คดีสภากาชาดไทยปฏิเสธรับบริจาคโลหิตจากหญิงข้ามเพศ เป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ แต่ตำหนิการออกบัตร “ห้ามบริจาคตลอดชีวิต” กระทบสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
19 กันยายน 2568 ศาลปกครองกลาง เผยแพร่ประกาศคำพิพากษา กรณีสภากาชาดไทยปฏิเสธการรับบริจาคโลหิตจากบุคคลข้ามเพศ ศาลชี้ว่าการกระทำของสภากาชาดไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม แต่เป็นการดำเนินการเพื่อความปลอดภัยของโลหิตที่จะส่งต่อให้ผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม ศาลได้ตำหนิการกระทำของสภากาชาดที่กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ร้อง
คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ “นาย ป.” ซึ่งเป็นหญิงข้ามเพศ ถูกศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ปฏิเสธการรับบริจาคโลหิต เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าเขาอยู่ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นาย ป. จึงยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ “คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” (คณะกรรมการฯ) ซึ่งต่อมาคณะกรรมการฯ มีคำวินิจฉัยว่าการใช้แบบคัดกรองที่อิงจากเพศสภาพเป็นการเลือกปฏิบัติ และสั่งให้สภากาชาดเปลี่ยนไปใช้เกณฑ์พิจารณาจาก “พฤติกรรมเสี่ยง” แทน
สภากาชาดไทยไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าว จึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการฯ โดยศาลปกครองกลางได้พิจารณาแล้วเห็นว่า หน้าที่หลักของสภากาชาดคือการจัดหาโลหิตที่ปลอดภัยและเพียงพอให้แก่ผู้ป่วยทั่วประเทศ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล การมีกระบวนการคัดกรองผู้บริจาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ศาลระบุว่า ข้อมูลจากนานาชาติสอดคล้องกันว่ากลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อเอชไอวี ดังนั้น การที่แบบคัดกรองของสภากาชาดระบุให้งดรับบริจาคโลหิตจากกลุ่มนี้ จึงเป็นมาตรการที่สมเหตุสมผลเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้รับบริจาค
เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ของผู้ป่วยที่จะได้รับโลหิตที่ปลอดภัย กับความเสียหายของผู้ที่ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ ศาลเห็นว่าประโยชน์ส่วนรวมมีความสำคัญกว่า การกระทำของสภากาชาดจึงเข้าข่ายข้อยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการฯ
อย่างไรก็ตาม ศาลได้หยิบยกประเด็นสำคัญขึ้นมาวินิจฉัยเพิ่มเติม แม้คู่กรณีจะไม่ได้กล่าวอ้างโดยตรง คือกรณีที่สภากาชาดออกบัตรประจำตัวชั่วคราวให้ นาย ป. ซึ่งระบุว่าเขาอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ทำให้ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ตลอดชีวิต
ศาลชี้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการตีตรา นาย ป. โดยไม่มีข้อเท็จจริงชัดเจนว่าเขามีเชื้อเอชไอวีจริงหรือไม่ ซึ่งส่งผลให้สังคมเข้าใจผิดและอาจเกิดการดูหมิ่นเหยียดหยาม ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- บิ๊กเต่า ร้อง ภูมิธรรม แต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ละเลยคุณสมบัติ-ความสามารถ
- ศาลปกครอง ยกฟ้องประธาน กสทช. ไม่ผิดปมละเลยหน้าที่ ใช้อำนาจถูกต้อง
- ศาลปกครอง ยืนยัน ไม่ได้สั่ง “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้คดีจำนำข้าว หมื่นล้าน
ติดตาม The Thaiger บน Google News: