ทนายสยบลือโอน 12 ล้าน “หลวงพ่อคึกฤทธิ์” อยากเปิดวัดที่เยอรมนี ก่อนฟ้องสีกา

ทนายความหลวงพ่อคึกฤทธิ์ แจงปมเงิน 12 ล้าน สถานะ สีกาเยอรมัน แค่โยมอุปัฏฐาก เผย “พระคึกฤทธิ์” ต้องการเปิดวัดที่เยอรมนีก่อนฟ้องสีกา เหตุพบโอนเงินผิดปกติ ผลคดียังรอตัดสินที่ต่างประเทศ
ไทม์ไลน์ของเรื่องนี้ เริ่มจาก 13 ก.ย.68 ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ปธ.มูลนิธิทนายกองทัพธรรม อ้างถึงพระวัดดังเมืองปทุมธานี ซึ่งถูกตรวจพบเส้นเงินวัดถูกโอนไปให้สีการายหนึ่ง มากกว่า 12.2 ล้านบาท จนกลายเป็นกระแสใหญ่ โดยหนึ่งในพระที่ถูกกล่าวถึงคือ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี
ล่าสุด ทนายนันทน อินทนนท์ ทนายความที่รับมอบอำนาจจากวัดนาป่าพง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ชี้แจงกรณีถูกพาดพิงถึงพระวัดดังเมืองปทุมฯ โอนให้สีกา 12.2 ล้านบาทนั้น
อันดับแรกสีกาที่มาปฎิบัติ อุปัฏฐากและคอยปรนนิบัติแก่พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นบุคคลที่มีตัวตนชัดเจน มีฐานะ ชื่อเสียงทางสังคม และเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะโยมอุปัฏฐากนานแล้ว
ส่วนประเด็นพระธรรมวินัยนั้น ขณะนี้เข้าสู่กระบวนการทางสงฆ์ ซึ่งทางพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ยินดีเข้าสู่กระบวนการชี้แจงข้อมูล
ส่วนเรื่องสำคัญที่จะนำมาชี้แจงในวันนี้ (16 ก.ย.) ทนายนันทน กล่าวว่า เป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ หลังทางวัดไปเกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา ฐานยักยอกทรัพย์และฟอกเงิน โดยมีการพยายามกล่าวหาว่าพระอาจารย์ โอนเงินจำนวนหนึ่งให้กับสีกาในประเทศไทย และมีการโอนเงินไปยังต่างประเทศ เพื่อที่จะเข้าบัญชีส่วนตัวของพระอาจารย์ในเยอรมนี
หลักฐานที่ปรากฎบนสื่อสังคมออนไลน์ มีการกล่าวอ้างว่า มีการโอนเงินจากบุคคลหนึ่ง ไปยังสีกา ในบัญชีธนาคารกรุงไทย เมื่อปี 2561 จำนวน 4 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12,200,000 บาท และหลังจากนั้น มีการโอนเงินจากบัญชีสีกาคนนั้น ไปยังประเทศเยอรมนีจำนวน 27 ครั้ง เพื่อเข้าบัญชีส่วนตัวพระอาจารย์
ทนายนันทน กล่าวว่า หลักฐานใบโอนเงิน (Pay-In Slip) โดยปกติจะอยู่ในมือผู้ฝาก ซึ่งทางวัดนาป่าพง และพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นต้นทางการฝากเงิน และเป็นผู้ถือใบนำฝากด้วยตัวเอง
ส่วนที่เอกสารไปปรากฎในมือของบุคคลที่นำไปโพสต์บนสาธารณะนั้น เริ่มต้นมาจากเอกสารนั้นเป็นเอกสารที่มีการนำส่งที่ศาลเยอรมนี เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลหนึ่ง ที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงิน โดยเอกสาร 4 ฉบับเป็นเอกสารต้นทางโอนเงิน ที่ยื่นต่อศาลดุสเซลดอร์ฟ เยอรมนี ฉะนัน้ไม่ใช่เอกสารที่ต้องปิดบังใด ๆ เพราะเป็นเอกสารที่ถูกต้อง และทางวัดเห็นว่า ข้อมูลตามเอกสารนั้น สามารถที่จะเปิดเผยได้ทั้งฉบับ เพราะบุคคลที่ทำการโอนเงินตรงนั้น เป็น ไวยาวัจกรของวัดเอง จึงสามารถเปิดเผยได้ด้วยความยินยอมของวัดได้ในทันที
ทนายนันทน กล่าวว่า ในปี 2561 พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ต้องการเผยแพร่พุทธธรรมคำสอนของพระศาสดาในต่างประเทศ ซึ่งวิธีการที่จะดำเนินกิจการนี้ คือต้องจัดตั้งวัดขึ้นในต่างประเทศ โดยศาสนชนที่ให้ความเคารพพระอาจารย์มีจำนวนมาก โดยเฉพาะเยอรมนี จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการพยายามก่อสร้างวัด ด้วยเหตุนี้เองจึงพบว่าการจัดตั้งวัดในเยอรมนีซับซ้อน ยุ่งยาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยบุคคลผู้มีความรู้ในภาษาเยอรมัน (บุคคลท้องถิ่น)
พระอาจารย์คึกฤทธิ์จึงได้รวบรวมพุทธศาสนิกชนที่พร้อมเสียสละ ระดมกำลังก่อตั้งมูลนิธิ พร้อมแต่งตั้งบุคคลผู้เป็นหญิง ที่มีถิ่นฐานเยอรมนีและพูดภาษาท้องถิ่นได้ และเข้าใจว่ามีอีกคนต่างประเทศ คอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งบุคคลนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานมูลนิธิฯ และดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิมาโดยตลอด ซึ่งกระบวนการไม่สามารถทำได้โดยง่าย
กระทั่ง พระอาจารย์ได้มีการทำหนังสือแต่งตั้งฉบับหนึ่ง เป็นหนังสือมอบอำนาจให้บุคคลนั้น มีอำนาจดำเนินการทางการเงินแทนพระอาจารย์ทั้งสิ้น นอกจากนั้น มีอำนาจในการทำธุรกรรมทางกฎหมายเพื่อจัดตั้งมูลนิธิ ซึ่งมีการทำหนังสือมอบอำนาจชัดเจน และมีการแจ้งให้ทราบว่า การก่อตั้งมูลนิธินั้นจะต้องใช้เงินทุน 210,000 ยูโร (ราว 7.7 ล้านบาท) โดยได้รับการชี้แจงว่า 2 หมื่นยูโร (7 แสนบาท) เป็นจำนวนเงินที่ไม่สามารถใช้สอยได้ ส่วน 1 หมื่นยูโร (3.6 แสนบาท) สามารถใช้สอยตามกิจการปกติ
รวมทั้งได้รับคำแนะนำว่าในการดำเนินการนั้น จะต้องจดทะเบียนภษาีและเสียภาษีให้ถูกต้องด้วย พระอาจารย์จึงได้จัดทำหนังสือมอบอำนาจขึ้นเมื่อประมาณ เดือนมีนาคม 2561 เมื่อได้รับการแจ้งให้โอนเงิน จึงดำเนินการด้วยสกุลเงินไทยหลายครั้งซึ่งสีกาคนนั้น ได้มีเปิดบัญชีธนาคารกรุงไทย ในประเทศไทย ซึ่ง พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโลได้ติดต่อญาติโยมที่มีจิตศรัทธา ให้ช่วยกันระดมทุนที่จะบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ
ครั้งแรกมีการกำหนดไว้ที่ 6 ล้านบาท ซึ่งมีการติดต่อโยมที่ใกล้ชิดเพื่อให้บริจาคเงินจำนวนนี้ ซึ่งโยมคนนี้ได้ทำหนังสือบริจาคส่งให้พระอาจารย์เป็นการส่วนตัว พร้อมระบุวัตถุประสงค์ชัดเจนว่า เพื่อนำไปใช้ในการก่อตั้งมูลนิธิพุทธวจน ในประเทศเยอรมนี ต่อมา สีกาผู้ได้รับมอบอำนาจนั้น ได้ลงลายมือชื่อแสดงความจำนงในการบริาจาคเงินฉบับนี้ ซึ่งมีการลงนามโดยบุคคลผู้บริจาค และผู้ได้รับมอบอำนาจ (สีกา) ซึ่งเกิดขึ้นทั้ง 4 ครั้ง รวม 12,200,000 บาท
ทนายความเผยด้วยว่ามีคำแนะนำเปิดบัญชีส่วนตัวของพระภิกษุในเยอรมนี เพื่อประโยชน์การรับเงินค่าวิทยากร หรือค่าบริจาควิทยากรเมื่อมูลนิธิก่อตั้งแล้วเสร็จ ขณะนั้นเอง เกิดปัญหาการโอนเงิน และพบเงินโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของพระอาจารย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่ทันทีที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของพระอาจารย์ในเยอรมนี สีกาคนนั้นได้ปิดบัญชีในธนาคารคอมเมิร์ช (Commerce Bank) ในนามสมาคมพุทธวจนทันที
นั่นเป็นสาเหตุให้ธนาคารเกิดความสงสัยในการดำเนินธุรกรรมเหล่านี้ เนื่องจากมีการโอนเงินออกจากบัญชี เข้าสู่บัญชีใหม่ และปิดบัญชีเดิมทันทีในระยะเวลาอันสั้น จึงมีข้อสงสัย ว่าอาจเข้าข่ายฟอกเงินได้ กระทั่ง อัยการเยอรมนี จึงทำการสอบสวนว่าแหล่งที่มาเงินทุนมาจากไหน พร้อมอายัดเงินในบัญชีส่วนตัวของพระอาจารย์ ก่อนที่ทางวัดจะดำเนินการชี้แจง พร้อมส่งหลักฐานต่าง ๆ ไปยัง NOTA ซึ่งเมื่อได้รับข้อมูลเกี่ยวกับข้อกล่าวหาฟอกเงิน จึงไม่ยอมลงรายมือชื่อจัดตั้งมูลนิธิให้
จากนั้น พระอาจารย์ได้ติดต่อไปยังรัฐบาลแห่งบาวาเรีย ก่อนเห็นว่ามูลนิธิมีแหล่งที่มาถูกต้อง และเป็นองค์กรการกุศลอย่างแท้จริง จึงนำเรื่องส่งให้ประธานาธิบดีลงนามจัดตั้งมูลนิธิสำเร็จ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนี้ รัฐบาลบาวาเรีย มีคำสั่งให้โอนเงินทุนทั้งหมด ที่มีอยู่ในบัญชีต่าง ๆ มาอยู่ในบัญชีกลางด้วย.
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- โหนกระแสเปิดเรื่องเล่า อ.เบียร์ ที่มา “สีกาตา” ใกล้ชิด “หลวงพ่อคึกฤทธิ์”
- ประวัติ “สีกาตา สหัสทยา ศิษย์เอก พระคึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง
ติดตาม The Thaiger บน Google News: