เปิดสาเหตุ ศาลฎีกา ตัดสินคุก 1 ปี “ทักษิณ” นอน รพ.ตำรวจ โรคไม่ฉุกเฉิน หักล้างโทษไม่ได้

ศาลชี้การพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” จึงไม่ถือเป็นการรับโทษตามคำพิพากษา สั่งกรมราชทัณฑ์บังคับโทษจำคุก 1 ปีเต็ม โดยไม่นับรวมเวลาที่อยู่โรงพยาบาล
วันที่ 9 กันยายน 2568 -คืบหน้ากรณี ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งครั้งประวัติศาสตร์ในคดีชั้น 14 วินิจฉัยให้การเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่นับเป็นการบังคับโทษตามคำพิพากษา ส่งผลให้ศาลมีคำสั่งให้บังคับโทษจำคุกนายทักษิณเป็นเวลา 1 ปีเต็ม
ประเด็นหลักที่ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยคือ การที่กรมราชทัณฑ์ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันแรกที่เดินทางกลับถึงประเทศไทยนั้น ไม่ถือเป็นการบังคับโทษจำคุกตามกฎหมาย
ศาลได้วินิจฉัยโดยแบ่งช่วงเวลาและอาการป่วยออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ การประเมินสุขภาพครั้งแรก, อาการป่วยฉุกเฉินในคืนแรก และการรักษาตัวต่อเนื่องที่โรงพยาบาลตำรวจ
1. การประเมินสุขภาพครั้งแรก ณ เรือนจำ (22 สิงหาคม 2566)
ศาลระบุว่า แพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตรวจร่างกายและประวัติการรักษาของนายทักษิณ พบว่ามีโรคประจำตัวรวม 10 โรค ซึ่งอาการโดยรวมทั้งหมด “คงที่” แต่มี 3 โรคที่แพทย์เห็นควรให้ตรวจเพิ่มเติม ได้แก่:
- โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท และ โรคหัวใจ: เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง
- โรคไวรัสตับอักเสบบี: เนื่องจากไม่มีคลินิกโรคตับ
ความเห็นของแพทย์ในตอนนั้นคือ “จำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก” แต่เป็นไปเพื่อการตรวจเพิ่มเติมในวันและเวลาราชการ และอยู่ในภาวะ “ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน”
2. อาการป่วยฉุกเฉินในคืนแรก (คืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566)
ในคืนดังกล่าว นายทักษิณแจ้งพยาบาลเวรว่ามีอาการป่วย โระบุอาการดังนี้
- อ่อนเพลีย
- ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย
- นอนไม่หลับ
- แน่นหน้าอก
- ความดันโลหิตสูง (วัดได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท)
อย่างไรก็ตาม ศาลได้หักล้างความจำเป็นเร่งด่วนของอาการเหล่านี้ โดยอ้างอิงจากพยานหลักฐานหลายส่วน การปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับภาวะฉุกเฉิน เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ นายทักษิณถูกส่งไปที่ห้องพักพิเศษชั้น 14 ไม่ใช่ห้องฉุกเฉิน (ER) ซึ่งขัดกับระเบียบของโรงพยาบาล
ไม่มีการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจทันที พยานผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภาระบุว่า จากเวชระเบียนไม่พบการ “ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ” ในคืนที่เกิดเหตุ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเพิ่งเข้ามาตรวจในอีก 24 ชั่วโมงถัดมา (วันที่ 24 สิงหาคม)
ศักยภาพของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้นยืนยันว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีทั้งเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและยาที่จำเป็น (ยาขยายหลอดลม, ยาลดความดัน) ที่สามารถรักษาอาการดังกล่าวได้
ศาลเชื่อว่านายทักษิณ ไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกจริง แต่ใช้อาการดังกล่าวเป็นข้ออ้าง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งตัวออกไปรักษานอกเรือนจำ
3. การรักษาตัวต่อเนื่องและการผ่าตัดที่โรงพยาบาลตำรวจ
พยานแพทย์หลายปากยืนยันว่า ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป อาการของนายทักษิณทุเลาลงแล้ว และสามารถกลับไปรักษาตัวต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ แต่มีการขออนุญาตพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปโดยอ้างเหตุผลเรื่องการผ่าตัด
ศาลได้ชี้ให้เห็นความผิดปกติของการอ้างเหตุผลผ่าตัด ว่าการผ่าตัดที่เกิดขึ้นจริงคือ “การผ่าตัดนิ้วล็อก” และ “ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวา”ซึ่งศาลระบุว่า เอ็นหัวไหล่ฉีกขาดเกิดจากอุบัติเหตุขณะพักที่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ใช่สาเหตุเดิมที่ใช้อ้างในการส่งตัวมา
มีการอ้างเหตุผลเรื่อง “ผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม” เพื่อขออยู่รักษาต่อ แต่ข้อเท็จจริงคือ แพทย์เคยเสนอให้นายทักษิณผ่าตัด แต่ “จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด” และสุดท้ายก็ไม่มีการผ่าตัดดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
ศาลชี้ว่า นายทักษิณ “ไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน” แต่มีเพียงโรคเรื้อรังที่สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ และนายทักษิณยังมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการรักษา โดยเลือกที่จะปฏิเสธการผ่าตัดใหญ่ (โรคหัวใจและกระดูกคอ) แต่เลือกรับการผ่าตัดเล็กที่ไม่เร่งด่วน (นิ้วล็อกและหัวไหล่) ซึ่งส่งผลให้การพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจขยายเวลาออกไปอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น ระยะเวลาที่นายทักษิณพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จึงไม่สามารถนำมาหักล้างกับโทษจำคุก 1 ปี ตามที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษได้ ศาลจึงมีคำสั่งให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการบังคับโทษจำคุก 1 ปีต่อไป พร้อมส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตามกฎหมาย
คำสั่งนี้เป็นบทสรุปของกระบวนการไต่สวนที่เริ่มขึ้นหลังจากนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ซึ่งแม้ศาลจะยกคำร้องในทางเทคนิค แต่ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาไต่สวนเองเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง
บรรยากาศที่ศาลฎีกาตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นไปด้วยความคึกคัก มีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศจำนวนมากมาปักหลักรอทำข่าว ขณะที่กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงได้เดินทางมาให้กำลังใจนายทักษิณ
เมื่อเวลาประมาณ 09.25 น. นายทักษิณได้เดินทางมาถึงศาลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับครอบครัว ทั้งนางสาวพินทองทา คุณากรวงศ์ และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยได้ยกมือไหว้ทักทายสื่อมวลชนและผู้สนับสนุนที่ตะโกนให้กำลังใจว่า “เรารักทักษิณ”
ภายหลังศาลใช้เวลาอ่านคำสั่งประมาณ 2 ชั่วโมงจนมีข้อสรุปดังกล่าว นายทักษิณยังคงมีท่าทีสงบนิ่งและปรึกษากับนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัว ขณะที่นางสาวแพทองธารได้เข้าสวมกอดและจับมือให้กำลังใจผู้เป็นพ่อทันที
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ประวัติศาสตร์ ทักษิณ นายกคนแรกติดคุก 1 ปี “แพทองธาร” ย้ำกำลังใจยังดี
- ปวิน โพสต์ “ทักษิณติดคุก!!” หลังศาลฎีกาสั่ง คุก 1 ปี เพราะ “นิ้วล็อก” ไม่ใช่โรคฉุกเฉิน
- “อิ๊งค์-เอม” โพสต์ไอจีให้กำลังใจ “ทักษิณ” ชี้ชะตาคดีโรงพยาบาลตำรวจวันนี้
ติดตาม The Thaiger บน Google News: