สรุปคดีชั้น 14 ลุ้น 9 ก.ย. ศาลตัดสินชะตา “ทักษิณ” นอนรพ.ตำรวจ รอดหรือร่วง

สรุปคดี “ชั้น 14” ของทักษิณ ชินวัตร ก่อนศาลอ่านคำพิพากษา 9 ก.ย. 2568 ที่มาของคดี เหตุการณ์ที่นำไปสู่การฟ้องร้อง ตัดสินชะตา จำคุกในรพ. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
การกลับมาถึงประเทศไทยอีกครั้งของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงบ่ายของวันที่ 8 กันยายน 2568 ไม่ใช่เป็นเพียงการเดินทางกลับบ้านเกิดธรรมดาตามคำมั่น แต่เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญ คำตัดสินศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) จะมีคำสั่งในคดีประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันในชื่อ “คดีชั้น 14” ในวันที่ 9 กันยายนนี้ คดีที่จะชี้ชะตาว่าการรับโทษจำคุกที่ผ่านมา ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย จนสุดท้ายกลายเป็น คดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 วันที่นายทักษิณเดินทางกลับประเทศไทยในรอบ 15 ปี เพื่อรับโทษจำคุก 8 ปี จาก 3 คดีทุจริต ต่อมาได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับสร้างคำถามตัวโตให้กับสังคม เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้นอนในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แม้แต่คืนเดียว
ในกลางดึกของคืนแรก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ส่งตัวนายทักษิณออกจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจ อ้างเหตุผลว่าเกิดอาการป่วยรุนแรงกะทันหัน อดีตนายกคนที่ 23 ถูกนำตัวไปรักษาที่ชั้น 14 และรักษาตัวอยู่ที่นั่นตลอดระยะเวลา 6 เดือน จนกระทั่งเข้าเกณฑ์ “พักโทษกรณีพิเศษ” สำหรับผู้ต้องขังสูงอายุในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 จึงได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าในฐานะผู้ถูกคุมประพฤติ จนพ้นโทษอย่างสมบูรณ์ในอีก 6 เดือนต่อมา
การไม่ได้ถูกจองจำในเรือนจำแม้แต่วันเดียว ได้กลายเป็นปมร้อนที่นำไปสู่การยื่นคำร้องให้ศาลไต่สวนว่า การบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่
“วันที่ 10 มกราคม 2568 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ (อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ศาลพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายกรณีการที่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์และเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นำตัวนายทักษิณไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 แทนการคุมขังในเรือนจำว่าอาจขัดต่อกฎหมายหรือไม่”
แม้ในตอนแรกศาลจะยกคำร้องของผู้ยื่น เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่ศาลได้เห็นความสำคัญและหยิบยกคดีนี้ขึ้นมาไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
ศาลฎีกาฯ ได้ตั้งองค์คณะผู้พิพากษา 5 คน เพื่อดำเนินการไต่สวนคดีนี้อย่างละเอียด มีการนัดไต่สวนพยานทั้งหมด 7 ครั้ง ตลอดช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม 2568 ใช้เวลาไต่สวนรวมทั้งสิ้นกว่า 20 ชั่วโมง ก่อนจะใช้เวลาอีก 41 วันในการรวบรวมพยานหลักฐาน ประชุมปรึกษา และจัดทำคำพิพากษา
ศาลได้เรียกพยานบุคคลมาให้การมากถึง 31 ปาก ประกอบด้วยบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์, ผู้บัญชาการเรือนจำ, ทีมแพทย์จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ, เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอัยการสูงสุด (อสส.) ในฐานะโจทก์ ที่น่าสนใจคือ ในจำนวนพยานทั้งหมด มีพยานฝ่ายจำเลยเพียง 1 ปากเท่านั้น
บรรยากาศตลอดการไต่สวนทั้ง 7 นัดเต็มไปด้วยความเข้มข้น ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นคือ “คำให้การที่ไม่ตรงกัน” ของพยานหลายชุด กลุ่มแพทย์โรงพยาบาลตำรวจให้การไม่สอดคล้องกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ทำหน้าที่เป็น “ผู้คุม” เฝ้าอยู่ที่ชั้น 14 เกี่ยวกับอาการป่วยของนายทักษิณ ขณะที่ผู้บัญชาการเรือนจำในขณะนั้นกับผู้บัญชาการเรือนจำคนปัจจุบันก็ชี้แจงไม่ตรงกันในขั้นตอนการส่งตัวผู้ต้องขังไปโรงพยาบาลภายนอก
พยานหลายปาก แม้จะเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ แต่กลับให้การว่าจำได้ไม่ชัดเจน หรือ ไม่แน่ใจ, แพทย์เจ้าของไข้ของนายทักษิณที่แสดงอาการอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นหลุดปากกลางศาลว่า “ผมมีหน้าที่แค่รักษาคนไข้ ไม่คิดว่าต้องมาขึ้นศาล”
สรุปลำดับเหตุการณ์ของกระบวนการพิจารณาคดี
30 เม.ย. 2568: ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งรับคำร้องของนายชาญชัยไว้ไต่สวนเป็นคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568
8 พ.ค. 2568: คณะกรรมการแพทยสภา (ในการประชุมครั้งที่ 5/2568) มีมติลงโทษแพทย์จำนวน 3 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจรักษานายทักษิณขณะอยู่ รพ.ตำรวจ ลงโทษว่ากล่าวตักเตือน 1 ราย กรณีปฏิบัติเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ 2 ราย กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง
12 มิ.ย. 2568: คณะกรรมการแพทยสภา (ประชุมครั้งที่ 6/2568) ยืนยันมติลงโทษแพทย์ 3 รายดังกล่าวเช่นเดิม ด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3 แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษของแพทยสภาึ จะมีความเห็นแย้งก็ตาม
13 มิ.ย. 2568: ศาลฎีกาฯ เปิดการไต่สวนพยานนัดแรก พยานปากแรกคือ นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
4 ก.ค. 2568: การไต่สวนพยานนัดที่ 2 สอบปากคำบุคลากรทางการแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์จำนวน 5 ปาก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณไปยังโรงพยาบาลตำรวจในคืนวันที่ 22 ส.ค. 2566
8 ก.ค. 2568: ไต่สวนพยานนัดที่ 3 สอบปากคำเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 9 นาย
15 ก.ค. 2568: ไต่สวนพยานนัดที่ 4 ศาลออกหมายเรียกพยาน 6 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของกรมราชทัณฑ์ 4 คน และผู้บริหารทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 2 คน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนและการอนุมัติให้นำตัวนายทักษิณออกมารักษานอกเรือนจำ
18 ก.ค. 2568: ไต่สวนพยานนัดที่ 5 เรียกบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณมาให้ปากคำ เพื่อยืนยันรายละเอียดการรักษาและอาการป่วยของนายทักษิณในช่วงที่อยู่โรงพยาบาล
25 ก.ค. 2568: ไต่สวนพยานนัดที่ 6 ศาลเชิญ กรรมการแพทยสภา มาให้ความเห็นในประเด็นว่าอาการป่วยของนายทักษิณในช่วงกลางดึกวันที่ 22 ส.ค. 2566 เข้าขั้นวิกฤตจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจจริงหรือไม่
30 ก.ค. 2568: ไต่สวนพยานนัดที่ 7 (นัดสุดท้าย) ศาลเชิญ นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีและนักกฎหมาย มาให้การตามคำร้องขอของฝ่ายนายทักษิณ ในฐานะผู้เคยรักษาการ รมว.ยุติธรรมช่วงที่นายทักษิณเดินทางกลับไทย
9 ก.ย. 2568: วันนัดฟังคำพิพากษา มีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร (จำเลย) และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เดินทางมาปรากฏตัวเพื่อฟังคำสั่งศาลในวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น. ที่ศาลฎีกาฯ สนามหลวง ในวันนี้ศาลจะมีคำสั่งชี้ขาดว่าเหตุการณ์ “คดีชั้น 14” ดังกล่าวถือว่ามีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามคำพิพากษาหรือขัดต่อกฎหมายหรือไม่ และจะมีคำสั่งหรือแนวทางดำเนินการใดต่อไปตามผลการวินิจฉัย
คำสั่งของศาลฎีกาฯ คดีชั้น 14 ในวันที่ 9 กันยายนนี้ จะเป็นบทสรุปของมหากาพย์ที่สังคมเฝ้าติดตามมาตลอด 2 ปี ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อนายทักษิณ ชินวัตร รวมถึงสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับการบังคับโทษในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยต่อไปอย่างแน่นอน
ศาลฎีกาเตรียมพร้อม ใช้ตำรวจ 100 นาย คุมเข้มฟังคำสั่ง “คดีชั้น 14” ทักษิณ พรุ่งนี้
ผู้สื่อข่าวไทยเกอร์ รายงานบรรยากาศที่ศาลฎีกา สนามหลวง ในวันนี้ (8 ก.ย. 68) เจ้าหน้าที่ศาลได้ร่วมกับตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม วางแผนเตรียมความพร้อมเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย สำหรับการนัดอ่านคำสั่งใน “คดีชั้น 14” ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
สำหรับการเตรียมการด้านความปลอดภัย เบื้องต้นจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ชนะสงคราม และเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) รวมประมาณ 100 นาย เพื่อดูแลพื้นที่โดยรอบ
ศาลได้กำหนดแนวทางการจัดการพื้นที่ไว้อย่างชัดเจน ดังนี้
- สื่อมวลชน อนุญาตให้เฉพาะสื่อมวลชนที่ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้ากับศาลฎีกาเท่านั้น ที่จะสามารถเข้ามาในพื้นที่เพื่อรับฟังการอ่านคำสั่งได้ สามารถนำรถของทีมข่าวเข้ามาจอดบริเวณด้านหลังอาคารศาลฎีกา ริมคลองหลอด
- ประชาชนและผู้สนับสนุน สำหรับสื่อมวลชนที่ไม่ได้ลงทะเบียน รวมถึงกลุ่มมวลชนที่ประสงค์จะเดินทางมาให้กำลังใจนายทักษิณ ศาลได้จัดพื้นที่ให้อยู่บริเวณลานพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะมีแผงเหล็กกั้นเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
- คู่ความในคดี รถยนต์ของคู่ความจะได้รับอนุญาตให้เข้าทางประตูด้านหลังอาคารศาลฎีกาฝั่งคลองหลอด
ศาลฎีกายกคำร้อง ชาญชัย ขอห้าม ทักษิณ ออกนอกประเทศ ชี้ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง
ช่วงบ่ายวันนี้ (8 กันยายน 2568) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งยกคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยื่นขอให้ศาลมีข้อกำหนดห้ามนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางออกนอกราชอาณาจักร จนกว่าศาลจะมีคำสั่งในคดี “ชั้น 14”
ศาลได้นัดฟังคำสั่ง ต่อมานายชาญชัยเปิดเผยว่า ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าตนเองไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงในคดี จึงไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้อง ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว ตนเข้าใจและยอมรับอำนาจการพิจารณาของศาล มองว่าอย่างน้อยเป็นข้อดีที่ศาลได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว หลังจากนี้ศาลสามารถพิจารณาออกคำสั่งใดๆ ได้เองโดยไม่ต้องมีผู้ใดยื่นคำร้องอีก ส่วนจะมีคำสั่งไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหรือไม่ ถือเป็นดุลพินิจของศาล
สำหรับกรณีนายทักษิณเดินทางกลับประเทศไทย นายชาญชัยมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้กระบวนการพิจารณาคดีในวันพรุ่งนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ เขาเชื่อว่านายทักษิณได้คิดทบทวนมาดีแล้ว เพราะการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่างมากที่สุดก็คือรับโทษตามคำพิพากษา แต่หากไม่ยอมรับในกระบวนการ อาจทำให้คดีความเพิ่มขึ้นและกลับประเทศไทยได้ยากลำบากกว่าเดิม
นายชาญชัยยืนยันว่า ในวันพรุ่งนี้ เวลา 09:00 น. ตนจะเดินทางมาฟังการอ่านคำสั่งคดีชั้น 14 ด้วยตัวเอง ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะได้ทำหน้าที่ของตัวเองจบแล้ว แต่เชื่อว่าคำสั่งของศาลจะเป็นประโยชน์ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำไปขยายผลต่อได้ หากศาลชี้ว่ามีเจ้าหน้าที่กระทำความผิดให้การช่วยเหลือ ซึ่งอาจนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนบุคคลในระดับรัฐมนตรี
นายชาญชัยยังแสดงความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่นายทักษิณจะขอเลื่อนฟังคำสั่งโดยอ้างอาการป่วย เพราะตามกฎหมายแล้วศาลสามารถพิจารณาคดีลับหลังได้ เนื่องจากเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่สิ้นสุดแล้ว พร้อมทิ้งท้ายว่า “ใครทำอะไรไม่ดี ก็ต้องรับผลกรรม ใครทำผิดทำความเสียหายต่อบ้านเมือง ต้องรับผิดชอบ ถ้ายังหนี ถือว่าคิดผิดอย่างมาก”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทักษิณ กลับไทยไม่หนี โผล่ชื่อ “น้องสาว” นั่งเครื่องบินเจ็ทกลับมาด้วย
- เปิดภาพ “ทักษิณ” ออกจากสนามบินดอนเมือง เตรียมขึ้นศาลคดีชั้น 14 พรุ่งนี้
- @ชั้น 1บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ผงาดนั่ง รองนายกฯ ครม.อนุทิน ฉายา “นักกฎหมายมหาชนชั้นครู”
ติดตาม The Thaiger บน Google News: