ปชน.ชวนจับมือ “เพื่อไทย” เป็นฝ่ายค้านเสียงข้างมาก ร่วมตรวจสอบรัฐบาล

พรรคประชาชน โต้ 4 ข้อย้อนแย้ง เพื่อไทยยื่นยุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมยื่นข้อเสนอ ชวนทิ้งนิติสงคราม แล้วร่วมมือเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างมาก
พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ตอบโต้กรณี สส.พรรคเพื่อไทยยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคประชาชน พร้อมทั้งได้ยื่นข้อเสนอชวนพรรคเพื่อไทยยุตินิติสงคราม และร่วมมือกันทำหน้าที่ฝ่ายค้านเสียงข้างมาก เพื่อตรวจสอบรัฐบาลและผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
จากกรณีที่ สส.พรรคเพื่อไทยได้ร่วมกันเข้าชื่อยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพการเป็น สส. ของณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (2) ประกอบมาตรา 185 (1) และ (2) โดยอ้างว่าการทำบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างหัวหน้าพรรคทั้งสองนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายครอบงำและแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีสิทธิวิจารณ์การตัดสินใจของพรรคประชาชนได้เต็มที่ และพรรคประชาชนก็ต้องพร้อมน้อมรับทุกความเห็นและทุกการตรวจสอบ แต่เหตุผลที่ สส.พรรคเพื่อไทยใช้ในการยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าการทำข้อตกลง MOA ของพรรคประชาชนเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญและเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองนั้น มีความย้อนแย้งและไม่ส่งผลดีต่อความเข้มแข็งของประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่พรรคเพื่อไทยต้องการยึดมั่น
(1) พรรคเพื่อไทยระบุว่าการทำข้อตกลงตาม “เงื่อนไข 3 ข้อหลัก” ของพรรคประชาชนขัดรัฐธรรมนูญ แต่ก่อนที่พรรคประชาชนจะตัดสินใจว่าจะทำข้อตกลงกับพรรคใด พรรคเพื่อไทยเองเป็นฝ่ายที่ประกาศยอมรับทุกเงื่อนไขของพรรคประชาชนหลังจากได้มีการหารือกันถึงรายละเอียดที่สำนักงานพรรคประชาชน ยังไม่นับถึงความพยายามของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านั้นที่ได้ประกาศเงื่อนไขหรือข้อเสนอเพิ่มเติมจาก 3 ข้อเสนอหลักของพรรคประชาชน
(2) พรรคเพื่อไทยระบุว่าการตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย แต่นอกจากการมีอยู่ของรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้และเคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้งในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก ตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่มาพูดคุยกับผู้บริหารพรรคประชาชนก็เข้าใจและยอมรับเองตั้งแต่วันนั้น ว่าพร้อมจะคงสถานะความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในห้วงเวลาก่อนยุบสภา หากมีการทำข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชน
(3) พรรคเพื่อไทยระบุว่าการ “ยุบสภาภายใน 4 เดือน” ก่อนจะหมดวาระในเดือนพฤษภาคม 2570 อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่พรรคเพื่อไทยเองกลับเป็นฝ่ายที่ยืนยันว่าพร้อมยุบสภาภายใน 4 เดือนเมื่อครั้งพยายามโน้มน้าวให้พรรคประชาชนทำข้อตกลง MOA ร่วมกับเพื่อไทย รวมถึงยังได้ยื่นข้อเสนอพิเศษหลังจากที่พรรคประชาชนได้ลงนามข้อตกลง MOA ไปแล้ว ว่าพร้อม “ยุบสภาทันที” – หากพรรคเพื่อไทยยังยืนยันว่าจะใช้เหตุผลนี้ในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แล้วเราจะตีความคำสัญญาที่ผ่านมาเรื่องการยุบสภากันอย่างไร?

(4) พรรคเพื่อไทยระบุว่าการทำ “ข้อตกลง MOA” ต่างๆ ระหว่างพรรคการเมืองอาจขัดรัฐธรรมนูญหรือเข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง ทั้งที่ข้อตกลงนั้นล้วนถูกทำอย่างเปิดเผยและเกี่ยวข้องกับประเด็นทางสาธารณะ หากพรรคเพื่อไทยเชื่อแบบที่ยื่นคำร้องจริง ก็เท่ากับเป็นความพยายามสร้างบรรทัดฐานให้พรรคการเมืองหลีกเลี่ยงการทำสัญญาประชาคมต่อหน้าประชาชนเกี่ยวกับจุดยืนหรือนโยบายสาธารณะ ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อแนวทางการทำการเมืองที่โปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วม ที่ทุกฝ่ายน่าจะอยากเห็น
พวกเราสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของพรรคเพื่อไทยต่อการตัดสินใจของพรรคประชาชน และยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยเองเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมาก่อนหน้านี้จากกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่หากเราต้องการให้รัฐบาลภูมิใจไทยไม่เบี้ยวต่อข้อตกลงเรื่องยุบสภาและการปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และไม่กระทำการใดๆ อันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมในช่วง 4 เดือนข้างหน้านี้ การทำงานหนักร่วมกันของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตประเทศ มากกว่าการหักหาญหรือทำลายล้างกันด้วยกลไกนิติสงคราม
แน่นอนว่าพรรคประชาชนเคารพสิทธิของพรรคเพื่อไทยในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเป็นเอกเทศโดยไม่ร่วมมือกับพรรคประชาชน แต่ด้วยคณิตศาสตร์การเมืองในระบบรัฐสภา การร่วมมือกันในประเด็นที่เห็นตรงกัน จะทำให้ฝ่ายค้านทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น เพราะจะมีเสียง สส. ของสองพรรครวมกันเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
แม้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนต่างมี สส. ของตนเองเพียงพอในการ “เปิด” อภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่หากต้องการจะ “ล้ม” รัฐบาลได้ผ่านการลงมติไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการเบี้ยวสัญญาหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ ความร่วมมือของสองพรรคมีส่วนสำคัญต่อการมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
แม้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนต่างมีร่างกฎหมายของตนเองที่อยากผลักดันในสภาฯ แต่หากสองพรรคพูดคุยและตกลงกัน กฎหมายทุกฉบับที่สองพรรคเห็นตรงกันว่าควรผลักดัน ก็สามารถผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ไปได้ ในขณะที่กฎหมายทุกฉบับของรัฐบาลภูมิใจไทยที่ สองพรรคเห็นตรงกันว่าไม่ควรให้ผ่าน ก็ไม่มีทางผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ไปได้
แม้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนอาจมีมุมมองที่ต่างกันต่อการตัดสินใจของพรรคประชาชนที่ผ่านมา แต่หากทั้งสองพรรคร่วมกันคงความเป็นเอกภาพของ สส. ภายในพรรคตนเองได้สำเร็จ สถานะของรัฐบาลใหม่จะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ต่อไป และฝ่ายค้านจะทำงานได้ต่อไปในฐานะเสียงข้างมากในสภาฯ
การเมืองไทยควรมุ่งสู่การติดตามการรักษาสัญญา การตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล และการผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้าในสภาฯ ให้เกิดผลแท้จริง แทนที่จะปล่อยให้การต่อสู้ทางการเมืองถูกลดทอนให้เหลือเพียงนิติสงครามเพื่อทำลายล้างกัน อันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ก่อนเป็นดิจิตอล ฟุตปริ้นต์ “ช่อ-โรม” เหตุผล 7 ข้อ ปชน.จับมือภูมิใจไทย ขอโทษเลือกอนุทินเป็นนายกฯ
- “ชมรมแพทย์ชนบท” ถามแรง หากเพื่อไทยยื่นซักฟอก “อนุทิน” ปชน.จะโหวตสวนไหม
- “อิ๊งค์” โพสต์เติมพลังวันหยุด ก่อนเข้าพรรคเพื่อไทยวันนี้ ขอบคุณทุกกำลังใจ
ติดตาม The Thaiger บน Google News: