คดีอาญามาตรา 110 กฎหมายว่าอย่างไร ที่ผ่านมาเคยมีการตัดสินคดีนี้มาก่อนไหม

รู้จัก คดีอาญามาตรา 110 คืออะไร? กฎหมายว่าอย่างไร ที่ผ่านมาเคยมีการตัดสินคดีนี้มาก่อนหรือไม่ หลังศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 5 จำเลยในคดี ประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับในคดี ประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี โดยวินิจฉัยว่าจำเลยทั้ง 5 คนมีความผิดจริงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จากเหตุการณ์ขัดขวางขบวนเสด็จเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์กฎหมายไทยที่มีการพิพากษาลงโทษในคดีตามมาตรานี้ในชั้นศาลอุทธรณ์
มาตรา 110 คืออะไร?
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 ระบุว่า “ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี” (อ้างอิง : สำนักงานกฎหมาย นพนภัส ทนายความเชียงใหม่)
บทบัญญัตินี้ยังครอบคลุมถึงพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วย และหากการกระทำนั้นมีลักษณะที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โทษสูงสุดคือประหารชีวิต
ย้อนรอยคดี จากศาลชั้นต้นสู่ศาลอุทธรณ์
คดีประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี มีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 บริเวณถนนพิษณุโลก ซึ่งมีการขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ
คำพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าจำเลยไม่มีเจตนาประทุษร้าย และการขัดขวางเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากไม่มีการแจ้งเส้นทางขบวนเสด็จให้ผู้ชุมนุมทราบล่วงหน้า
ต่อมา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ อัยการโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษา ศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ราย เป็นเวลา 21 ปี 4 เดือน และจำเลยอีก 4 ราย คนละ 16 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งคำพิพากษานี้ได้กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่เคยพิพากษายกฟ้องไปก่อนหน้า
นี่จึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่มาตรา 110 ถูกพิพากษาใช้จริงในศาลอุทธรณ์ โดยคดียังเดินหน้าต่อในชั้นฎีกา ซึ่งหากศาลฎีกามีคำสั่งเป็นไปในทางที่จำเลยไม่ได้รับการประกันตัว ก็อาจส่งผลให้ทั้งห้าคนต้องถูกคุมขังในเรือนจำระหว่างรอคำพิพากษาสูงสุด
อ้างอิง : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, MGR Online, iLaw
ติดตาม The Thaiger บน Google News: