
อนุทิน ชาญวีรกูล เตรียมฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” อีกครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เปิดคุณสมบัติผู้ลงทะเบียน และเงื่อนไขการใช้จ่ายที่ต้องรู้
พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เตรียมนำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูง อย่าง คนละครึ่ง กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นหนึ่งในมาตรการเร่งด่วน (Quick Win) ที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน แม้รายละเอียดสุดท้าย เช่น วงเงินและวันเริ่มต้นโครงการ จะต้องรอการประกาศจากคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ แต่หลักเกณฑ์และวิธีการเบื้องต้นยังคงใกล้เคียงกับโครงการในเฟสที่ผ่านมา
ใครมีสิทธิ์ลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง’ ฉบับรัฐบาลใหม่ เช็กคุณสมบัติที่นี่
เจาะลึกคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ลงทะเบียน “คนละครึ่ง” รอบใหม่ ประชาชนที่ต้องการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” ปี 2568 จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 3 ข้อ ดังนี้
1. มีสัญชาติไทย และอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ผู้ลงทะเบียนจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชนที่ถูกต้อง และต้องมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่เปิดให้ลงทะเบียน
2. ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เงื่อนไขนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ คือผู้ที่ได้รับสิทธิ์ผ่าน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อยู่แล้ว จะ ไม่สามารถ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้
3. ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการช่วยเหลืออื่นที่ซ้ำซ้อน เช่นเดียวกับโครงการในเฟสก่อนหน้า ผู้ที่เคยได้รับสิทธิ์ในโครงการช่วยเหลือของรัฐที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันในอดีต เช่น “เราชนะ” หรือ “โครงการเพิ่มกำลังซื้อ” จะไม่เข้าเกณฑ์การลงทะเบียนในครั้งนี้
วิธีลงทะเบียน-ใช้สิทธิ คนละครึ่ง ฉบับสมบูรณ์ ทั้งฝั่งประชาชนและร้านค้า
เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่รัฐบาลจะประกาศเปิดโครงการ “คนละครึ่ง” รอบใหม่อย่างเป็นทางการ ทั้งประชาชนทั่วไปและร้านค้ารายย่อยควรทำความเข้าใจขั้นตอนการลงทะเบียนและวิธีใช้งานแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างราบรื่น
สำหรับประชาชน ลงทะเบียนและใช้จ่ายผ่าน “แอปเป๋าตัง”
ประชาชนจะต้องดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน เป๋าตัง (Pao Tang) เป็นหลัก โดยมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’
- ดาวน์โหลด พร้อมติดตั้งแอป “เป๋าตัง” จาก App Store (สำหรับ iOS 15.0 ขึ้นไป) หรือ Google Play (สำหรับ Android 9.0 ขึ้นไป)
- ทำการยืนยันตัวตน (KYC) ผ่านแอป โดยเลือกสแกนใบหน้าด้วยบัตรประชาชน หรือยืนยันผ่านแอป Krungthai NEXT เพื่อผูกบัญชี G-Wallet ให้พร้อมใช้งาน
ขั้นตอนที่ 2 เติมเงินเข้า G-Wallet
ก่อนใช้สิทธิ์ ผู้ใช้จะต้องเติมเงินส่วนของตนเองเข้า G-Wallet ไว้ล่วงหน้า โดยสามารถเติมได้ 3 ช่องทางหลัก คือ Mobile Banking ของธนาคารต่าง ๆ, QR Code PromptPay และตู้ ATM ของธนาคารต่าง ๆ
ขั้นตอนที่ 3 วิธีใช้สิทธิ์ ‘คนละครึ่ง’
เมื่อลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com และได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้ว ให้เข้าแอปเป๋าตัง แล้วให้ เลือกเมนู “คนละครึ่ง” เพื่อใช้สิทธิ์ และกดสแกน QR Code ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ จากนั้นตรวจสอบยอดเงินที่ต้องชำระ (ระบบจะคำนวณส่วนลด 50% อัตโนมัติ) แล้วกดยืนยันการชำระเงิน อย่างไรก็ตาม ต้องเริ่มใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายใน 14 วัน หลังจากได้รับ SMS ยืนยัน มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ทันที
สำหรับร้านค้า สมัครและรับชำระเงินผ่าน “แอปถุงเงิน”
ร้านค้ารายย่อยที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ จะต้องดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน ถุงเงิน (Thung Ngern)
สำหรับร้านค้าใหม่
1. เตรียมเอกสาร บัตรประชาชน, สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย และหนังสือรับรองจากกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน (ถ้ามี)
2. นำเอกสารไปสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา โดยเจ้าของร้านต้องไปด้วยตนเองเพื่อยืนยันตัวตน
3. ดาวน์โหลดและติดตั้งแอป “ถุงเงิน” เพื่อรอรับการอนุมัติ
สำหรับร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการ (รายเก่า)
ไม่ต้องสมัครใหม่ เพียงเข้าสู่ระบบในแอป “ถุงเงิน” กรอกข้อมูลยืนยันตัวตน และกดยอมรับเงื่อนไขเพื่อเข้าร่วมโครงการเฟสใหม่ได้ทันที
วิธีรับชำระเงิน
เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ให้ร้านค้าเลือกเมนู “คนละครึ่ง” ในแอปถุงเงิน จากนั้นให้สร้าง QR Code ประจำร้านเพื่อให้ลูกค้าสแกนชำระเงินได้ทันที
เจาะลึกเงื่อนไข ‘คนละครึ่ง’ ฉบับใหม่ ใช้จ่ายอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด
วิธีใช้สิทธิ์ รัฐช่วยจ่าย 50% สูงสุด 150 บาท/วัน ย้ำ! ต้องใช้ครั้งแรกใน 14 วันหลังได้ SMS มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ทันที มีหลักเกณฑ์สำคัญที่คาดว่าจะยังคงเดิม ดังนี้
1. หลักการร่วมจ่าย 50/50
- หัวใจของโครงการคือการ “ร่วมจ่าย” โดยเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าที่เข้าร่วม รัฐบาล จะช่วยจ่าย 50% ของราคาสินค้า ผู้ใช้สิทธิ์ จะต้องจ่ายเองอีก 50% ผ่าน G-Wallet ใน แอปพลิเคชันเป๋าตัง
2. วงเงินที่ต้องรู้ จำกัดต่อวันและตลอดโครงการ
- การใช้สิทธิ์มีกรอบวงเงินที่ชัดเจน 2 ส่วน คือ 1) รัฐจะช่วยจ่ายสูงสุดไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน (หมายความว่า หากซื้อของราคา 300 บาท ผู้ใช้สิทธิ์จะจ่าย 150 บาท และรัฐช่วยจ่าย 150 บาท) โดยวงเงินจะถูกรีเซตใหม่ทุกวันในเวลา 06:00 น. และ 2) ผู้ใช้สิทธิ์แต่ละคนจะได้รับวงเงินรวมสูงสุดตลอดระยะเวลาโครงการ ซึ่งในอดีตเคยอยู่ที่ประมาณ 3,500 บาทต่อคน (ตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ในเฟสใหม่)
3. เงื่อนไขสำคัญ ต้องใช้ครั้งแรกใน 14 วัน
- นี่คือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่ง คือ หลังจากได้รับ SMS ยืนยันการได้รับสิทธิ์แล้ว ผู้มีสิทธิ์จะต้อง เริ่มใช้จ่ายครั้งแรกภายใน 14 วัน นับจากวันที่ได้รับ SMS หากไม่มีการใช้จ่ายภายในเวลาที่กำหนด สิทธิ์จะถูกตัดทันที
4. สินค้าและบริการที่เข้าร่วม (และข้อยกเว้น)
- ผู้ใช้สิทธิ์สามารถใช้จ่ายได้กับร้านค้าประเภทร้านอาหาร, เครื่องดื่ม, สินค้าทั่วไป และบริการต่างๆ เช่น ร้านนวด, สปา, ร้านทำผม ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ แต่มีข้อยกเว้นที่ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ คือ สลากกินแบ่งรัฐบาล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ด่วน! อนุทิน ชาญวีรกูล รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 วันนี้
- เปิดโผ “ครม.อนุทิน1” ใกล้ครบ ไผ่ ลิกค์ ไฟแรงถาม 4 เดือนอยากให้ทำอะไร ย้ำพร้อมคืนอำนาจประชาชน
- รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ได้ไปต่อไหม? หลัง นายกฯ แพทองธาร พ้นตำแหน่ง
ติดตาม The Thaiger บน Google News: