ข่าวต่างประเทศ

นักวิเคราะห์ ชี้ ข้อตกลงไทย-เขมร ส่อเค้าชะงักหลัง “แพทองธาร” พ้นนายกฯ

วิเคราะห์ประเด็นสำคัญจากข่าว

นักวิเคราะห์กัมพูชา ชี้ การพ้นตำแหน่งของ “แพทองธาร” สร้างความกังขาต่อข้อตกลง ด้วยสุญญากาศทางการเมืองและความขัดแย้งชายแดนที่ยืดเยื้อ ทำให้ต้องหยุดชะงัก

การพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้สร้างสุญญากาศทางการเมือง และกำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่ออนาคตของบันทึกความเข้าใจ (MOU) และข้อตกลงทวิภาคีรวม 7 ฉบับ ที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้กับประเทศกัมพูชาเมื่อเดือนเมษายน ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองประกอบกับความขัดแย้งชายแดนที่ยืดเยื้อ อาจทำให้โครงการความร่วมมือที่สำคัญต้องหยุดชะงัก

ข้อตกลงทั้ง 7 ฉบับนี้ ได้รับการลงนามระหว่างการเยือนกัมพูชาของ น.ส.แพทองธาร เมื่อวันที่ 23-24 เมษายน 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความร่วมมือในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานและการค้าชายแดน โครงการสำคัญที่อยู่ในข้อตกลงประกอบด้วย

  • การบริหารจัดการสะพานมิตรภาพ (สตึงบท-บ้านหนองเอี่ยน) ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนเพื่อการค้าที่สำคัญ
  • การก่อสร้างสะพานข้ามแดนแห่งใหม่ (พรม-บ้านผักกาด) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์
  • ความร่วมมือทางเทคนิค เพื่อยกระดับถนนแห่งชาติหมายเลข 57 ของกัมพูชา
  • การพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อส่งเสริมการจ้างงานและการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดน

นักวิเคราะห์ชี้ว่า โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้หยุดชะงักไปแล้วนับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งชายแดนขึ้นอีกครั้ง แต่การพ้นจากตำแหน่งของ น.ส.แพทองธาร ได้เพิ่มความกังวลระลอกใหม่ว่าข้อตกลงต่าง ๆ อาจเผชิญกับความล่าช้า การระงับ หรืออาจถูกยกเลิกไปในที่สุด ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค

นักวิเคราะห์เขมรชี้ข้อตกลงยังมีผล แต่ยอมรับความขัดแย้ง คืออุปสรรคจริง

อย่างไรก็ตาม นายซอน ซัม นักวิเคราะห์นโยบายจากราชบัณฑิตยสภากัมพูชา (RAC) ได้ให้ทรรศนะกับสื่อท้องถิ่นว่า ในทางกฎหมาย ข้อตกลงทั้ง 7 ฉบับจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป เพราะเป็นข้อตกลงในลักษณะ “รัฐต่อรัฐ” ไม่ใช่ข้อตกลงระหว่างบุคคล และคาดว่านายกรัฐมนตรีคนต่อไปของไทยจะยังคงสานต่อข้อตกลงเหล่านี้

กระนั้น นายซอน ซัมยอมรับว่า อุปสรรคที่แท้จริงในปัจจุบันคือ “ความขัดแย้งชายแดนที่ดำเนินอยู่” ซึ่งเป็นปัจจัยด้านความปลอดภัยที่สำคัญและได้บีบให้โครงการพัฒนาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องถูกระงับไว้เป็นการชั่วคราว ดังนั้น เสถียรภาพทางการเมืองของไทยและการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดน จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้โครงการเหล่านี้สามารถเดินหน้าต่อไปได้

ที่มา: KHMER TIMES

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Suriyen J.

นักเขียนบทความข่าว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาปรัชญาและศาสนา มีประสบการณ์กับสำนักข่าวระดับประเทศ ชื่นชอบด้านสังคม การเมือง ต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างคุณค่าผ่านงานเขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ครบทุกมิติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button