ข่าว

ชำแหละ คำร้อง สว.แจงยิบกล่าวหา “แพทองธาร” ปมคลิปเสียงฮุนเซน ผิดจริยธรรมร้ายแรง

เปิดคำร้อง สว. 36 คน กล่าวหา น.ส.แพทองธาร “นิ่งเฉย” ต่อการรุกรานของกัมพูชา จากคลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน เป็นหลักฐานสำคัญชี้ว่าผิดรัฐธรรมนูญ และจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยชี้ชะตาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ได้มีการเปิดเผยเนื้อหาในคำร้องของกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 36 คน ซึ่งได้แจกแจงรายละเอียดและพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่กล่าวหาว่า น.ส.แพทองธาร มีพฤติกรรม “นิ่งเฉย” ต่อการรุกรานของกัมพูชา และการสนทนาในคลิปเสียงกับสมเด็จฯ ฮุน เซน คือหลักฐานที่ชี้ชัดว่ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวและเข้าข้างฝ่ายกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ไล่ไทม์ไลน์ ความนิ่งเฉย ของนายกรัฐมนตรี

ในคำร้องของ 36 สว. ได้ลำดับเหตุการณ์ที่อ้างว่าเป็นพฤติการณ์ “นิ่งเฉย” ของนายกรัฐมนตรีอย่างละเอียด โดยระบุว่านับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชามีการเคลื่อนไหวทางการทูตและกฎหมายอย่างเป็นขั้นตอน ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยกลับไม่มีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจน จนบุคคลสำคัญและประชาชนต้องออกมาเรียกร้อง

คำร้องยังได้อ้างถึงเหตุการณ์ที่สื่อมวลชนได้ตั้งคำถามถึงการที่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่เข้ามา 200 เมตร ซึ่งนายกรัฐมนตรีกลับแสดงท่าทีไม่พอใจและพูดจาประชดสื่อมวลชน นอกจากนี้ ในช่วงการประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายน ที่กรุงพนมเปญ ฝ่ายกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์บิดเบือนข้อเท็จจริง แต่ฝ่ายไทยมีเพียงการตอบโต้ในระดับกระทรวงการต่างประเทศ ขณะที่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐบาลกลับนิ่งเฉย ไม่ได้แถลงข่าวโต้แย้งในทันที

คลิปเสียงคือ หลักฐานมัดตัว พิสูจน์ความสัมพันธ์ส่วนตัว

กลุ่ม สว. ได้ชี้ว่า พฤติการณ์นิ่งเฉยดังกล่าวได้รับการคลี่คลายข้อสงสัยทั้งหมด เมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้เข้าใจว่า “นายกรัฐมนตรีไทย นิ่งเฉย เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว แอบสนทนาแบบที่เป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา”

คำร้องได้หยิบยกถ้อยคำสนทนาที่ น.ส.แพทองธาร ใช้เรียกสมเด็จฯ ฮุน เซน ว่า “uncle” (ลุง), ประโยคที่ว่า “จริง ๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” มาเป็นเครื่องยืนยันว่านายกรัฐมนตรีมีพฤติกรรมที่เข้าข้างฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน

ยกสารพัดกฎหมาย-จริยธรรม ชี้ขาดคุณสมบัติ

จากพฤติการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมา กลุ่ม สว. ผู้ร้องจึงเห็นว่าการกระทำของ น.ส.แพทองธาร เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลายฉบับ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 50, 52, 161, 164, ประมวลกฎหมายอาญา หมวดความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นอกจากนี้ ยังชี้ว่าเป็นการฝ่าฝืน มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระฯ พ.ศ. 2561 และ ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 อีกหลายข้อ ซึ่งถือได้ว่า น.ส.แพทองธาร “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และอาจกล่าวได้ถึงขนาดว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติและประชาชนเลย” อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ

คำร้องที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ภาพจาก: FB/ โต๊ะข่าวการเมือง ไทยพีบีเอส
คำร้องที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ภาพจาก: FB/ โต๊ะข่าวการเมือง ไทยพีบีเอส
ภาพจาก: FB/ โต๊ะข่าวการเมือง ไทยพีบีเอส
ภาพจาก: FB/ โต๊ะข่าวการเมือง ไทยพีบีเอส

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Suriyen J.

นักเขียนบทความข่าว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาปรัชญาและศาสนา มีประสบการณ์กับสำนักข่าวระดับประเทศ ชื่นชอบด้านสังคม การเมือง ต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างคุณค่าผ่านงานเขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ครบทุกมิติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx