เปิดคำต่อสู้คดี “แพทองธาร” แจงยิบทุกถ้อยคำ อ้างเทคนิคเจรจาชั้นสูง ขอกลับทำหน้าที่นายกฯ

แพทองธาร ชินวัตร ยื่นคำชี้แจงต่อศาล รธน. ปมคลิปเสียงฮุน เซน โดยอ้างว่าเป็นเพียง “เทคนิคการเจรจา” เพื่อผลประโยชน์ชาติ ยันคำพูด “มทภ.2 คือฝั่งตรงข้าม” เป็นเพียงการสร้างความไว้วางใจในการเจรจา
ใกล้เข้ามาทุกขณะ สำหรับการไต่สวนพยานในคดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดนัดไต่สวนในวันที่ 21 สิงหาคมนี้ ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้เปิดเผยรายละเอียดคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของ น.ส.แพทองธาร ที่ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง ชี้แจงว่าทุกถ้อยคำในคลิปเสียงเป็นเพียง “เทคนิคการเจรจา” เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ พร้อมทั้งได้ยื่นบัญชีพยานผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ปาก แต่ศาลฯ อนุญาตให้ไต่สวนได้เพียง 1 ปากเท่านั้น
แจงปมร้อน อยากได้อะไรก็บอก – มทภ.2 คือฝั่งตรงข้าม
ในคำชี้แจง น.ส.แพทองธาร ได้อธิบายถึงถ้อยคำที่เป็นประเด็นสำคัญ โดยยืนยันว่าการใช้คำพูดว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” นั้น เป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้สมเด็จ ฮุน เซน ได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) เพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงของคู่เจรจา ไม่ได้มีเจตนาที่จะยอมรับหรือดำเนินการตามเงื่อนไขทุกข้อแต่อย่างใด
โดยได้ยกตัวอย่างกรณีที่สมเด็จ ฮุน เซน เสนอให้ไทยเปิดด่านก่อน ซึ่งตนก็ได้เสนอสวนกลับไปว่าให้เปิดพร้อมกัน แต่ไม่ได้รับการตอบรับ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้มีการโอนอ่อนตามข้อเสนอ
สำหรับถ้อยคำที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” นั้น น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่าเป็นการใช้เทคนิคการเจรจาที่เรียกว่า “การแบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล” โดยระบุว่าในขณะนั้นได้รับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคงว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน กำลังไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการส่วนตัว
ตนจึงจำเป็นต้องสื่อสารในลักษณะที่เข้าใจความรู้สึกของคู่เจรจา เพื่อแยกบทบาทของฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง และสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจให้สามารถเจรจากันต่อไปได้ ไม่ได้มีเจตนาแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด ซึ่งภายหลังตนก็ได้กล่าวขอโทษแม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว และท่านก็ไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด

ยื่น 5 พยานผู้เชี่ยวชาญ แต่ศาลรับไต่สวนเพียง 1
เพื่อให้ศาลได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงบริบททางภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งที่ซับซ้อน น.ส.แพทองธาร ได้ยื่นบัญชีพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิต่อศาลฯ จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย
1. นายฉัตรชัย บางขวด ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้ทำงานร่วมกับ ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ และยังเป็นบุคคลที่ทราบถึงเจตนาอันแท้จริงของตนเองในการสนทนากับสมเด็จฮุนเซน
2. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้สั่งการฝ่ายปกครองด้านชายแดน
3. พลเอก ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบำนาญในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา ทำงานด้านปฏิบัติในกัมพูชามาตั้งแต่ยศร้อยโท และทำงานอยู่กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพที่ 2 และผู้บัญชาการรบพิเศษอย่างต่อเนื่อง
4. พลโท พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร ตำแหน่งรองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร ในฐานะผู้ชำนาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของทหารและเรื่องอำนาจอธิปไตยของประเทศ
5. นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น อดีตทูตไทยประจำประเทศฟิลิปปินส์ และอดีตทูตไทยประจำประเทศรัสเซีย ในฐานะผู้ชำนาญด้านการต่างประเทศ และสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงวิธีปฏิบัติทางการทูตในการเจรจาแบบไม่เป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งให้นัดไต่สวนพยานบุคคลเพียง 2 ปากเท่านั้น คือตัวของ น.ส.แพทองธาร ผู้ถูกร้อง และ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. ซึ่งเป็นพยานที่ น.ส.แพทองธารเสนอชื่อไปเพียง 1 รายจากทั้งหมด 5 ราย
ในคำชี้แจง น.ส.แพทองธาร ยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยกเลิกมาตรการชั่วคราวที่ให้ตนเองหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า หากตนยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ย่อมเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและอธิปไตยของชาติมากกว่า โดยจะสามารถบูรณาการการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเพื่อสนับสนุนกองทัพ และแสดงออกถึงความเข้มแข็งภายในชาติ ซึ่งจะส่งผลดีในเชิงจิตวิทยาต่อการเผชิญหน้ากับกัมพูชา
ยืนยันเจตนาบริสุทธิ์ รักษาผลประโยชน์ชาติ
ในคำชี้แจงยังได้ยืนยันหนักแน่นว่า ความตั้งใจเดียวตลอดบทสนทนาคือการรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่มีเจตนาแอบแฝงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนหรือครอบครัว และการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามแนวนโยบายการต่างประเทศที่ได้มีการหารือร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย), รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงียมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568
นอกจากนี้ ยังได้ยกข้อกฎหมายขึ้นต่อสู้ว่า การสนทนาดังกล่าวไม่ถือว่ามีผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ เนื่องจากคู่สนทนาคือสมเด็จฯ ฮุน เซน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา ไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายที่จะเป็นตัวแทนของรัฐบาลกัมพูชาในการทำข้อตกลงระหว่างประเทศได้
ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดคำต่อสู้คดีของ น.ส.แพทองธาร ซึ่งต้องจับตาดูต่อไปว่า ในการไต่สวนพยานวันที่ 21 สิงหาคมนี้ คำให้การของเธอและเลขาธิการ สมช. จะมีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อกล่าวหาได้หรือไม่ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองในวันที่ 29 สิงหาคมนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าวอิศรา (1 , 2)
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ศาล รธน. เคาะ 29 ส.ค. ลงมติชี้ชะตา “แพทองธาร” คลิปเสียงคุยอังเคิล
- รอลุ้น ศาลรัฐธรรมนูญนัดตัดสินคดี 29 ส.ค.นี้ ชี้ชะตา “แพทองธาร” ปมคลิปเสียงคุยฮุนเซน
- หมอมิ้ง ยัน แพทองธาร ไม่คิดลาออก หลังส่งคำชี้แจงศาล รธน.แล้ว
ติดตาม The Thaiger บน Google News: