ขุดเบื้องลึกวัดพระบาทน้ำพุ อดีตพยาบาลอ้าง ถูกขู่ฆ่าหลังแจกยาต้าน ชี้คนไข้สุขภาพดีอาจทำเงินบริจาคลด

นักข่าวดัง ขุดเบื้องลึกวัดพระบาทน้ำพุ สัมภาษณ์อดีตพยาบาลอ้าง ถูกขู่ฆ่าหลังแจกยาต้าน ชี้คนไข้สุขภาพดีอาจทำเงินบริจาคลด
ผู้ใช้เฟซบูกรายหนึ่ง ซึ่งเป็นนักข่าว ได้แชร์เนื้อหาบางส่วนจากบทความเก่าที่ตนเคยเขียนลง Bangkok Post เมื่อปี 2557 หลังจากปัจจุบัน “วัดพระบาทน้ำพุ” กลับมาเป็นประเด็นในสังคมอีกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องเงินบริจาค หมอบี และการดูแลผู้ป่วย HIV
บทความเป็นบทสัมภาษณ์พยาบาลชาวสวิส (ใช้นามแฝงว่า “เลสลีย์”) ที่เคยเป็นอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่วัดพระบาทน้ำพุในช่วงปี 2546-2547 มีประเด็นสำคัญคือ เลสลีย์และอาสาสมัครคนอื่นๆ ได้จัดหายาต้านไวรัส (ARV) มาให้ผู้ป่วย 53 คน เพื่อทำการรักษา
ทว่าหลังจากเริ่มแจกยาต้าน พวกเธอก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าถึงแฟ้มประวัติผู้ป่วย และยาต้านก็หายไป ที่รุนแรงที่สุดคือ เลสลีย์ถูกข่มขู่ถึงชีวิตว่า “ให้หยุดจ่ายยาและออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นจะถูกฆ่า” จนในที่สุดเธอต้องออกจากวัดไปในเดือนพฤศจิกายน 2547
วัดพระบาทน้ำพุ 2568 บริจาคอะไรได้บ้าง เปิดรายการสิ่งของ ช่วยต่อลมหายใจผู้ป่วย 2 พันชีวิต
ข้อสังเกตเรื่องผู้ป่วย ผู้ป่วยประมาณ 95% ถูกญาตินำมาทิ้งไว้ที่วัด และถูกยึดข้าวของส่วนตัว เพื่อหวังรอวันเสียชีวิตให้เร็วที่สุด เป็นการ “ลบความอับอาย” ไปจากวงศ์ตระกูล ที่น่าเศร้า หลายครอบครัวไม่ทราบว่ายาต้านไวรัสสามารถรับได้ฟรีตามโรงพยาบาลทั่วไป พวกเขารู้จักแต่ “วัดเอดส์” จากสื่อทีวี
เลสลีย์ตั้งข้อสันนิษฐานว่า สาเหตุที่เธอถูกขับไล่อาจเป็นเพราะ เมื่อผู้ป่วยได้รับยาต้านแล้วดูมีสุขภาพดีขึ้น อาจทำให้เงินบริจาคลดลง เพราะภาพลักษณ์ของวัดต้องพึ่งพาความน่าสงสารของผู้ป่วย
พยาบาลคนดังกล่าวเชื่อว่า วัดพระบาทน้ำพุทำหน้าที่เป็น “ช่องโหว่ที่สมบูรณ์แบบ” ให้สังคมและครอบครัวสามารถทอดทิ้งผู้ป่วยจากตราบาปทางสังคมได้ หากผู้ป่วยได้รับยาและกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัว สังคมจะถูกบีบให้ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับพวกเขา และวัดในลักษณะนี้ก็อาจไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป
“ช่วงนี้ “วัดพระบาทน้ำพุ” กลับมาเป็นประเด็นอีกรอบ เลยอยากจะแชร์บางช่วงบางตอนของบทความชื่อ “วัดเอดส์ถูกจับตาอีกครั้ง” ที่เราเขียนลงใน Bangkok Post เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2557
บทสัมภาษณ์พยาบาลที่เคยทำงานดูแลคนไข้โรคเอดส์ระยะสุดท้ายในวัดพระบาทน้ำพุ ระหว่าง พ.ศ. 2546-2547
วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ดำเนินงานในฐานะสถานพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ แต่ผู้วิจารณ์กล่าวว่าวัดกำลังหากำไรจากผู้ป่วยซึ่งสามารถเข้ารับการรักษาในระบบสาธารณสุขด้วยยาที่ช่วยยืดอายุได้
เลสลีย์ (ไม่ใช่ชื่อจริง) เดินทางไปวัดพระบาทน้ำพุเป็นครั้งแรกช่วงปลายปี 2546 พยาบาลชาวสวิสรายนี้มีประสบการณ์ทำงานกว่า 15 ปีในขณะนั้น และจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยด้านจิตวิทยาและปรัชญา
งานประจำวันของเธอรวมถึงการเอกซเรย์ ตรวจเลือด จัดทำแฟ้มและรายชื่อผู้ป่วย
แต่สิ่งของจำเป็นหลายอย่างขาดแคลนอยู่เสมอ อาสาสมัครจึงต้องควักเงินส่วนตัวซื้อผ้าปูที่นอน อุปกรณ์การแพทย์ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ และอาหารให้ผู้ป่วยเอง
ครั้งหนึ่ง เลสลีย์และอาสาสมัครคนอื่น ๆ รวมทั้ง พญ.จุรีรัตน์ สามารถจัดหายาต้านไวรัสเอชไอวี (ARV) ให้ผู้ป่วยได้ถึง 53 คน แต่จากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มยากลำบาก พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ตรวจเลือดหรือเปิดดูแฟ้มเวชระเบียนของผู้ป่วย จากนั้นยต้านก็หายไป และเลสลีย์ก็ถูกข่มขู่
“มีคนบอกฉันให้หยุดจ่ายยาต้านและออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นจะถูกฆ่า” เลสลีย์กล่าว
วันหนึ่งยางรถจักรยานยนต์ของเธอถูกกรีดจนแบน ในที่สุดเธอก็ออกจากวัดไปในเดือนพฤศจิกายน 2547 นับแต่นั้นมาก็ไม่มีแพทย์หรือพยาบาลทำงานอยู่ที่วัดอีกเลย
ในช่วงวันท้าย ๆ ที่นั่น เลสลีย์และอาสาสมัครคนอื่นพยายามช่วยผู้ป่วยให้ออกจากวัด เพื่อกลับไปใช้ชีวิตข้างนอก หรือหากร่างกายอ่อนแอ ก็จะได้ไปรักษาตัวในโรงพยาบาล
จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่วัดหลายคน สเปกตรัมพบว่าประมาณ 95% ของผู้ป่วยที่วัดพระบาทน้ำพุถูกญาติพามาทิ้งไว้ ขณะที่มีเพียงราว 5% เท่านั้นที่ยังมีญาติมาเยี่ยม
“[ผู้ป่วย] ถูกปลดจากข้าวของส่วนตัวชิ้นสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าหรือแหวน แล้วก็ถูกปล่อยให้ตายให้เร็วที่สุด เพื่อให้ความอับอายหายไปจากวงศ์ตระกูล” เลสลีย์ ซึ่งปัจจุบันอายุ 50 ปีกล่าว
“บางคนถูกพามาในสภาพน่าเวทนา — เล็บยาว ไม่เคยอาบน้ำ ใกล้ตายหรือเสียชีวิตแล้ว บางครอบครัวไม่รู้ว่ายาต้านมีให้ฟรีและเข้าถึงได้ทุกคนในโรงพยาบาล แต่พวกเขารู้จากทีวีว่ามี ‘วัดเอดส์’ ในลพบุรี”
เธอกล่าวว่า ตราบใดที่ยังมีสถานที่เช่นนี้อยู่ บางคนก็จะปล่อยให้ญาติของตนตายโดยไม่มีโอกาสได้รับยาต้าน
“มันไม่เกี่ยวกับศาสนาอย่างที่ชาวตะวันตกหลายคนคิด แต่เกี่ยวกับตราบาปทางสังคม” เธอกล่าว “วัดนี้เป็นช่องโหว่ที่สมบูรณ์แบบ”
จนถึงทุกวันนี้ เลสลีย์ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าทำไมเธอจึงถูกขอให้ออกจากวัด แต่เธอสันนิษฐานว่าผู้ป่วยดูมีสุขภาพดีเกินไปเมื่อได้รับยาต้าน ซึ่งอาจทำให้เงินบริจาคลดลง
“ถ้าผู้ป่วยได้รับยาต้านและอยู่กับครอบครัว สังคมก็จะถูกบังคับให้ต้องรับมือกับพวกเขา และวัดพระบาทน้ำพุก็จะไม่มีอยู่ต่อไป” เธอกล่าว”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- วิเคราะห์ 2 สาเหตุ หลวงพ่ออลงกตไม่โอนที่ดินเป็นชื่อวัด ชี้ขั้นตอนยุ่งยาก-ค่าใช้จ่ายสูง
- เปิดเส้นทาง ‘หลวงพ่ออลงกต’ ผู้มอบชีวิตใหม่ ผู้ป่วย HIV วัดพระบาทน้ำพุ จากวิศวกรสู่ร่มกาสาวพัสตร์
- สภาทนายความ ปัดช่วยคดี “หลวงพ่ออลงกต” เหตุไม่เข้าเกณฑ์ ผู้ยากไร้
- ประวัติ “วรสุดา มั่นประเทศ” สาวผู้ถือครองที่ดินวัด ปมขัดแย้งเงินบริจาค?
ติดตาม The Thaiger บน Google News: