
ปิดตำนาน บ็อบบี้ วิทล็อก ผู้ร่วมก่อตั้ง Derek and the Dominos และมือคีย์บอร์ดคู่บุญ George Harrison เสียชีวิตในวัย 77 ปี
11 สิงหาคม 2568 บ็อบบี้ วิทล็อก (Bobby Whitlock) มือคีย์บอร์ดและนักร้องผู้ร่วมก่อตั้งวงระดับตำนาน Derek and the Dominos ร่วมกับ อีริค แคลปตัน ทั้งยังเป็นนักดนตรีคนสำคัญในอัลบั้มคลาสสิกอย่าง “All Things Must Pass” ของ จอร์จ แฮร์ริสัน ได้เสียชีวิตลงแล้วในวัย 77 ปี
แครอล เคย์ ผู้จัดการส่วนตัวของเขา ยืนยันกับสื่อ Variety ว่า วิทล็อกเสียชีวิตเมื่อเช้าวันอาทิตย์ เวลา 1:20 น. หลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งเป็นระยะเวลาสั้นๆ
วิทล็อกเป็นนักดนตรีที่เกิดในเมมฟิส ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงโซลชื่อดังอย่าง Stax Records ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาได้ร่วมงานกับศิลปินระดับตำนานมากมาย เช่น Booker T. and the MG’s และ Sam & Dave ก่อนจะกลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของวง Delaney & Bonnie and Friends ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้สร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับอีริค แคลปตัน ระหว่างออกทัวร์ด้วยกัน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ร่วมงานในอัลบั้ม “All Things Must Pass” ผลงานชิ้นเอกของจอร์จ แฮร์ริสัน โดยเขาคือหนึ่งในผู้บรรเลงเสียงเปียโนในเพลง “Beware of Darkness” ซึ่งเป็นเพลงที่ผู้คนนับล้านกำลังได้ยินในสุดสัปดาห์นี้ เนื่องจากถูกนำไปใช้เป็นเพลงเปิดในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องล่าสุด “Weapons”
สำหรับวง Derek and the Dominos แม้จะมีสตูดิโออัลบั้มเพียงชุดเดียว แต่ผลงานชุดนั้นคืออัลบั้มคู่ “Layla and Other Assorted Love Songs” (1971) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของวงการเพลงร็อก วิทล็อกได้ร่วมแต่งเพลงในอัลบั้มนี้ถึง 7 เพลง รวมถึงเพลงดังอย่าง “Bell Bottom Blues”, “Why Does Love Got to Be So Sad?” และ “Tell the Truth”
“มันเหมือนกับการจับสายฟ้าใส่ขวด” วิทล็อกเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในปี 2015 “เราทัวร์คลับแค่ครั้งเดียว ถ่ายรูปโปรโมตครั้งเดียว แล้วก็ออกทัวร์ในที่ที่ใหญ่ขึ้น จากนั้นก็ทำสตูดิโออัลบั้มเดียวที่ไมอามี แล้วก็ทัวร์อเมริกาครั้งเดียว ก่อนจะล้มเหลวในการทำอัลบั้มที่สอง” เขาชี้ว่าสาเหตุการยุบวงมาจากปัญหายาเสพติดและแอลกอฮอล์ที่หนักเกินไป รวมถึงความขัดแย้งเรื่องอีโก้ภายในวง
หลังจากการยุบวง เขาได้ออกผลงานเดี่ยวหลายชุดในยุค 70 และยังได้ร่วมงานกับศิลปินอื่นๆ เช่น การปรากฏตัวแบบไม่ให้เครดิตในอัลบั้ม “Exile on Main Street” ของ The Rolling Stones
ชีวิตช่วงหลังของวิทล็อก เขาได้กลับมาทำเพลงอีกครั้งในช่วงต้นยุค 2000 โดยแสดงคอนเสิร์ตแนวอะคูสติกคู่กับภรรยาของเขา โคโค่ คาร์เมล วิทล็อก (CoCo Carmel Whitlock) เพื่อนำเพลงจากอัลบั้ม “Layla” กลับมามีชีวิตอีกครั้ง นอกจากนี้ เขายังผันตัวไปเป็นจิตรกรและมีผลงานจัดแสดงในแกลเลอรีหลายแห่งในเท็กซัส
ในปี 2010 เขาได้ออกหนังสือชีวประวัติของตัวเอง โดยมีอีริค แคลปตัน เป็นผู้เขียนคำนิยมให้
วิทล็อกเคยกล่าวถึงชีวิตของเขาไว้ว่า “ผมรู้ว่าผมมีส่วนร่วมในผลงานเหล่านั้น และผมก็พอใจกับมัน ไม่ว่าใครจะจดจำสิ่งที่ผมทำได้หรือไม่ก็ตาม ผมมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม ผมวาดรูปทุกวัน ผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำ มันเป็นเหมือนพรสำหรับผมในทุกๆ ทาง”
ติดตาม The Thaiger บน Google News: