ฟัง กองทัพแจง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในพื้นที่ “ช่องอานม้า”

กองทัพภาคที่ 2 เผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในพื้นที่ “ช่องอานม้า”
วันนี้ (2 ส.ค.) จากกรณีชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุด ก่อนเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 กองทัพภาคที่ 2 ของไทยระบุถึงกำลังทหารของไทยนั้น ไม่เคยสามารถเข้าไปยึดพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ตาอมได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาวางกำลังตรึงพื้นที่ไว้อย่างต่อเนื่องมาโดยตตลอด
โดยมีข้อสังเกต เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 กองทัพกัมพูชาได้นำคณะทูตทหารจาก 13 ประเทศเข้าไปสังเกตการณ์ในพื้นที่ โดยพบว่า พื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ตาอมขณะนั้น มีกำลังทหารไทยควบคุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว
แนวปฏิบัติร่วมในพื้นที่อ้างสิทธิ์ “ช่องอานม้า” เพื่อป้องกันเหตุปะทะและรักษาเสถียรภาพในพื้นที่อ่อนไหว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงแนวทางปฏิบัติร่วมกันไว้ ดังนี้
1. จัดกำลังฝ่ายละ 5 นาย
– แต่ละฝ่ายส่งเจ้าหน้าที่ 5 นายเข้าไปในพื้นที่ร่วมตรวจสอบ เพื่อป้องกัน การเพิ่มเติมกำลัง
2. ไม่มีการพกพาอาวุธ
– เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องงดเว้นการพกพาอาวุธในขณะปฏิบัติภารกิจ
3. ลาดตระเวนร่วมกัน
– ทั้งสองฝ่ายร่วมเดินลาดตระเวนบริเวณรอบ “ตาอม” (ฝั่งกัมพูชา) และพื้นที่ใกล้เคียง
4. ไม่จำกัดช่วงเวลาในการเข้า-ออกพื้นที่
–สามารถเข้าปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนได้ ตลอดเวลา โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา
ปัจจุบัน: กองทัพไทยควบคุมสถาปนาพื้นที่ได้อย่างมั่นคง
จากสถานการณ์ความตึงเครียดล่าสุด กองทัพไทยได้ดำเนินการ ผลักดันกำลังฝ่ายกัมพูชาออกจากพื้นที่ที่ลุกล้ำอธิปไตยไทย ได้อย่างเด็ดขาด และสามารถ เข้ายึดพื้นที่ในแนวภูมิยุทธศาสตร์สำคัญได้สำเร็จ
เมื่อยึดพื้นที่ได้แล้ว ฝ่ายไทยได้จัดกำลังตรึงพื้นที่ ในเขตดินแดน อธิปไตยของไทย และสามารถครอบครองได้โดยชอบธรรม เพื่อ รักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ และป้องกันการกระทบกระทั่งที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ประเด็นเรื่อง “เชลยศึกกัมพูชา” แจงชัด
กรณีของกองทัพบกได้ออกมายืนยันแล้วเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึกตามหลักสากล พร้อมเปิดให้ ICRC ตรวจสอบ ย้ำข้อกล่าวหากัมพูชาเป็นการบิดเบือน
ตามกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าทหารไทยได้ทำร้ายร่างกายเชลยศึกก่อนการส่งตัวกลับประเทศ ภายหลังจากมีข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสองฝ่ายนั้น ในวันนี้ (2 สิงหาคม 2568) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
1.ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการบิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา ซึ่งไม่เป็นความจริง
2.แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงอย่างฉับพลัน แต่สถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ยังคงมีความตึงเครียดและยังไม่ยุติการใช้อาวุธโดยสมบูรณ์ ดังนั้น ภายใต้กฎหมายสากล กระบวนการของฝ่ายทหารในการควบคุมตัวบุคคลในลักษณะนี้จึงยังสามารถดำเนินการได้ตามหลักของอนุสัญญาเจนีวา
3.กองทัพบกมีความพร้อมเต็มที่ในการเปิดให้หน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เข้าตรวจสอบความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่อยู่ในการควบคุมของไทย ซึ่งดำเนินการตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ของอนุสัญญาเจนีวาอย่างครบถ้วน หากมีความกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชน หน่วยงานอย่างสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และ ICRC สามารถยื่นขอเข้าตรวจสอบผ่านช่องทางที่ระบุไว้ในกฎหมายสากลได้ตามปกติ
4.ประเทศไทยขอยืนยันว่า กองทัพบกได้ดำเนินการทุกขั้นตอนภายใต้กรอบของกฎหมายและหลักปฏิบัติสากลอย่างเคร่งครัด.
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- กัมพูชา ร้อง OHCHR สอบปม ไทยจับเชลยศึก 20 นาย แต่ส่งคืนแค่ 2 ในสภาพย่ำแย่
- กังฟู โต้เดือด กัมพูชา ลักลอบนำทูต 13 ชาติลง ช่องอานม้า ไม่ประสานไทย
- อัปเดตชายแดนไทย-กัมพูชา ถึง 7 โมงเช้า สงบ-ไม่มีเหตุปะทะ กองทัพภาค 2 สั่งยกระดับป้องกันโดรน
ติดตาม The Thaiger บน Google News: