พิชัย ยื่นข้อเสนอ สหรัฐฯ นำสินค้าบางรายการเข้า 0% เจรจาภาษีทรัมป์

พิชัย ชุณหวชิร ยื่นข้อเสนอ สหรัฐฯ นำสินค้าบางรายการเข้า 0% เพื่อเจรจาภาษีทรัมป์ พร้อมให้ธนาคารเตรียมซอฟท์โลนไว้ประมาณ 2 แสนล้านบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ “กรอบเจรจาและรับมือผลกระทบภาษีทรัมป์” ในงานเสวนาของ กรุงเทพธุรกิจ Roundtable : The Art of The (Re) Deal
นายพิชัย กล่าวว่า แม้การเจรจาภาษีกับทางสหรัฐฯผ่านมาแล้ว 100 วัน ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่สิ่งที่เห็นได้ในช่วงที่ผ่านมาคือความพยายามของสหรัฐฯในการลดการขาดดุลการค้า โดยต้องการเพิ่มการเปิดตลาดเพื่อให้สินค้าสหรัฐเข้าสู่ตลาดต่างๆ มากขึ้น (Market Access) ต้องมีการตกลงกัน ในเรื่องของการเปิดตลาด และต้องมีการคุยเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) ทุกขั้นตอน แต่ยืนยันว่ารัฐบาลมีทีมงานที่ติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ถือว่าการเจรจาล่าช้า อีกทั้งไทยยังได้รับประโยชน์จากข้อสรุปในการเจรจากับประเทศอื่น ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับแนวทางเจรจาของไทย
นายพิชัยเปิดเผยว่าการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯนั้น คณะเจรจาของไทยยึดบนหลักการดังนี้
1. เปิดตลาดไทยให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในสินค้าที่สหรัฐฯอยากขาย และเราอยากซื้อ แต่ไทยเราต้องดูเรื่องของการเปิดตลาดที่ไม่กระทบกับการทำ FTA ของประเทศต่างๆ ที่ทำกับไทย ผ่านการเสนอให้สหรัฐฯนำสินค้าเข้ามาในระดับ 0% ที่ไทยผลิตไม่ได้ และต้องนำเข้า หรือของที่ผลิตในไทยแล้วไม่เพียงพอ โดยการป้องกันภาคการผลิตของไทยโดยเฉพาะในภาคเกษตรนั้นยังมีอยู่
ข้อเสนอใหม่ที่ไทยส่งไปให้พิจารณาโดยเราเปิดตลาดให้สหรัฐแล้ว 63-64% และเพิ่มเป็น 69% ไทยจะมีการเปิดตลาดสินค้าบางอย่างที่ไทยไม่เคยเปิด และไทยก็ต้องเปิดมากขึ้น เช่น ลำไย ปลานิล ตามที่สหรัฐฯขอไว้ ส่วนตลาดยานยนต์ ไทยกำลังคิด เดิมไทยผลิตเยอะก็จะไม่ได้เปิดให้ แต่ถ้าไทยเปิดให้ คิดว่าถ้าเปิดสหรัฐฯก็คงเข้ามาไม่ได้ง่าย เช่น รถพวงมาลัยซ้าย เพราะเขามีตลาดอื่นทั่วโลกคงไม่ได้เข้ามาขายที่เรามาก
2. ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯต้องการส่งออกมากขึ้น และทำฐานผลิตในประเทศสหรัฐฯให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เช่น การลงทุนเรื่องเกษตรแปรรูป เรื่องของสินค้าที่ต้องซื้อจากสหรัฐฯ โดยไทยดูในเรื่องของพลังงานมากขึ้น โดยปัจจุบันสหรัฐฯมีปริมาณสำรองเรื่องของพลังงานค่อนข้างมากทำให้ราคาพลังงานมีราคาต่ำ เช่น ก๊าซธรรมชาติขายอยู่แค่ 2-3 ดอลล่าร์ต่อล้านBTU ถูกกว่าราคาตลาดที่ 10-11 ดอลล่าร์
3. ป้องกันการสวมสิทธิ์สินค้า ข้อเสนอของสหรัฐฯคือให้มีการเพิ่มการใช้วัตถุดิบหรือส่วนประกอบที่มีการผลิตในประเทศไทย (Local content) เป็นโจทย์ที่เราต้องดูว่าสหรัฐฯจะกำหนดในสัดส่วนเท่าไหร่ โดยอาจจะเพิ่มจาก 40% ในปัจจุบัน อาจเพิ่มเป็น 60-70% ที่เป็นต้นทุนที่จะใช้ Local content จากประเทศไทย และประเทศต่างๆ ที่สหรัฐกำหนดมากขึ้น เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์
ไทยต้องเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาส โดยต้องหันมาพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศให้มากขึ้นเพื่อทดแทนการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ทั้งนี้ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกลดลงเหลือ 58% จากก่อนหน้าอยู่ที่ประมาณ 70% ในจำนวนนี้ ไทยส่งออกไปสหรัฐฯประมาณ 18% ซึ่งถือว่า ส่งออกไปสหรัฐฯค่อนข้างสูง
ยอมรับว่า การเจรจาดังกล่าวมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลา ไม่สามารถจบลงได้ในระยะสั้น โดยไทยต้องพิจารณาความต้องการของสหรัฐ เพื่อนำมากำหนดมาตรการรองรับ ซึ่งสหรัฐต้องการเพิ่มรายได้ภาครัฐผ่านการจัดเก็บภาษี ลดรายจ่าย และลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด โดยจากจดหมายฉบับล่าสุด สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยมีการยุบสภาในระหว่างนี้ อาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาในบางประเด็น เพราะเงื่อนไขบางประการจำเป็นต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา
ดังนั้น ไทยจึงเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเตรียมซอฟท์โลนไว้ประมาณ 2 แสนล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.01% เพื่อช่วยเหลือ เพื่อช่วยเหลือทั้งการลงทุน ช่วยการจ้างงาน การบริหารสินค้าคงคลัง และมาตรการอื่นๆของสถาบันการเงิน มาตรการเยียวยาต่างๆ โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้จากระดับปกติที่ดอกเบี้ย 2% ทั้งนี้ซอฟต์โลนดังกล่าวจะมาจากธนาคารออมสินเป็นหลัก ส่วน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะช่วยบางส่วน และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเน้นช่วยภาคเกษตร รวมถึง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM BANK โดยแต่สัดส่วนการปล่อยกู้จากธนาคารใดยังต้องรอความชัดเจนจากฝั่งสหรัฐ ว่าจะกำหนดอัตราภาษีกับไทยอย่างไร
ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องเตรียมมาตรการเพิ่มเติมรองรับ โดยได้รวบรวมข้อมูลจากแต่ละภาคส่วน เพื่อออกแบบมาตรการให้ครอบคลุมและตรงเป้าหมาย ซึ่งภาคเอกชนทยอยส่งข้อมูลเข้ามาอย่างต่อเนื่องในวันนี้ (14 กรกฎาคม 2568) เพื่อใช้ประกอบการประเมินและแก้ไขปัญหาในแต่ละภาคธุรกิจ
ในส่วนของข้อเสนอใหม่ที่ไทยจะยื่นต่อสหรัฐ นายพิชัยระบุว่า เงื่อนไขที่ไม่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ เช่น ความมั่นคง ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งหากไทยเสนอประเด็นด้านความมั่นคง อาจทำให้จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีกับไทยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นายพิชัยมองว่า เรื่องนี้ยังไม่น่ากังวล เนื่องจากไทยยังไม่ได้ใช้ประเทศใดเป็นเงื่อนไขในการเจรจากับสหรัฐ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทรัมป์ ขู่ไม่หยุด เตรียมตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าแคนาดา เพิ่มอีกร้อยละ 35
- “พิชัย” ย้ำตอนนี้ภาษีสหรัฐฯ ยังอยู่ที่ 10% เดินหน้าเจรจาต่อรองเต็มที่
- “นายกอิ๊งค์” เชื่อไทยยังมีโอกาสเจรจาภาษีทรัมป์ รายละเอียดให้ “พิชัย” ตอบ
ติดตาม The Thaiger บน Google News: