ข่าวการเมือง

ตำรวจไซเบอร์ หอบสำนวนส่งอัยการสูงสุด คดีคลิปเสียงนายกคุยฮุนเซน

ตำรวจไซเบอร์ หอบสำนวนส่งอัยการสูงสุด คดีคลิปเสียงนายกฯ คุยกับฮุนเซน เผยเอกสาร 50 หน้าที่อาจเข้าข่ายความผิดมาตรา 116

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 หอบสำนวนคดีคลิปเสียงสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา คุยกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองที่มาแจ้งความไว้ มามอบให้ นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการและโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ

จากการตรวจสอบ เฟสบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “Samdech Hun Sen of Cambodia” ที่มีการโพสต์ข้อความและปล่อยคลิปเสียง พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน เบื้องต้นพบว่าผู้ที่ใช้เฟสบุ๊กดังกล่าวอยู่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักรไทย โดยตามประมวลกฎหมายอาญา ทางพนักงานสอบสวนจะต้องส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเป็นผู้ดำเนินการต่อไป โดยเอกสารในวันนี้มีประมาณ 50 หน้า ที่เข้าข่ายความผิดมาตรา 116 เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

สำหรับรายละเอียดของ “มาตรา 116” หรือ “มาตรา 116 อาญา” คือหนึ่งในมาตราของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต

1. เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย

2. เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ

3. เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

ขณะนี้ยังเป็นคดีที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย ซึ่งผลการสืบสวนสอบสวนแอดมินเพจดังกล่าวมีมากกว่า 1 คน แต่ยังไม่สามารถที่จะระบุได้ว่ามีสมเด็จฮุนเซน เป็นแอดมินร่วมด้วยหรือไม่ เนื่องจากรายละเอียดอยู่ในสำนวนคดียังไม่สามารถเปิดเผยได้ ยืนยันไม่ได้เป็นการฟ้องแก้เกี้ยว เป็นการดำเนินการตามหน้าที่เนื่องจากมีผู้ร้อง และการสอบสวนพบว่ามีการกระทำความผิดจริง ซึ่งมีพฤติการณ์โพสต์ต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหวังผลบางอย่าง

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ยืนยันว่า ทางพนักงานสอบสวนได้ดำเนินกระบวนการตามกฎหมายทุกประการ ซึ่งตอนนี้อำนาจการสอบสวนได้โอนไปยังอัยการสูงสุดเป็นที่เรียบร้อย เน้นย้ำว่า นี่ไม่ใช่เป็นการดำเนินคดีแก้เกี้ยว เมื่อมีคนแจ้งความร้องทุกข์ ทางตำรวจก็ต้องดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีหากพบความผิด โดยทางตำรวจไม่มีความกดดันในการทำคดี แต่ยอมรับว่า คดีนี้เป็นคดีที่ละเอียดอ่อน เพราะอาจกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทางตำรวจจึงต้องทำสำนวนคดีอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพยานหลักฐานที่มี

ด้านนายศักดิ์เกษมกล่าวว่า สำหรับขั้นตอนตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว หลังจากนี้ทางอัยการสูงสุด จะนำสำนวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบ เพื่อลงความเห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรจริง ก็จะมีความเห็นตามและมีคำสั่งตั้งพนักงานอัยการของสำนักงานการสอบสวนเป็นพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบข้อความ โดยต้องดูว่า มีเจตนาประสงค์ให้เกิดผลในราชอาณาจักรตามองค์ประกอบความผิดหรือไม่

หากมีพยานหลักฐานเพียงพอและพบเป็นการกระทำความผิดจริง ก็จะดำเนินการส่งสำนวนกลับไปยังอัยการสูงสุดเพื่อทำความเห็นสั่งฟ้อง หากอัยการสูงสุดมีความเห็นพ้องสั่งฟ้องตาม จึงจะดำเนินการขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับและถึงค่อยประสาน Interpol หรือตำรวจสากล เพื่อออกหมายแดงต่อไป

นายศักดิ์เกษมระบุว่า คดีนี้ในส่วนของอัยการจะดำเนินการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะยอมรับว่าคดีดังกล่าวมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ไม่กดดันในการทำงาน เพราะทางอัยการดำเนินการตามพยานหลักฐาน

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า จะต้องเชิญ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มาให้ปากคำหรือให้ข้อมูลหรือไม่ นายศักดิ์เกษม กล่าวว่า ก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนของการรวบรวมพยานหลักฐานว่ามีเพียงพอหรือไม่ หรือมีความเห็นที่ควรจะต้องเรียกบุคคลในคดีมาให้การเพิ่มเติมหรือไม่ แต่ยอมรับว่า เป็นการดำเนินคดีบุคคลสำคัญในต่างประเทศ ซึ่งต้องยึดตามพยานหลักฐานว่า เพียงพอแจ้งข้อหาความผิดหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยมีการฟ้องดำเนินคดีกับผู้นำต่างประเทศมาก่อน

ทั้งนี้คดีดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะดำเนินการสอบสวนซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ทางรัฐบาลจึงไม่สามารถจะเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงได้ แต่ยอมรับว่า ติดขัดปัญหาในเรื่องของสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ประเทศไทยและกัมพูชาไม่มีสนธิสัญญาดังกล่าวระหว่างกัน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Nateetorn S.

ทำงานกับ Thaiger มาตั้งแต่ปี 2020 จบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสคร์ เคยทำงานกับสถานีโทรทัศน์อันดับ 1 ของประเทศ ทำให้มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ เจาะประเด็นข่าวการเมืองอาชญากรรม ข่าวแปลกๆ เรื่องน่าสนใจจากต่างประเทศ ช่องทางติดต่อ tee@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx