
เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง เปราะบางขั้นสุด หอการค้าหั่นจีดีพี เหลือ 1.7% แนะธุรกิจ-ประชาชนเก็บเงินสดรับมือ
สัญญาณเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 กำลังอยู่ในภาวะน่ากังวลหนัก หลังจากนายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ทายาทรุ่นที่ 3 ของเครือสหพัฒน์ ส่งสัญญาณเตือนถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ช่วงเปราะบางขั้นสูงสุด แนะให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงการบริหารสภาพคล่อง เก็บรักษาเงินสดไว้ในมือให้มากที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมรับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในระยะต่อจากนี้
คำเตือนดังกล่าวสอดรับกับข้อมูลจากหอการค้าไทย ที่เพิ่งประกาศปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2568 จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ระดับ 3% เหลือเพียง 1.7% เท่านั้น โดยหอการค้าไทยระบุชัดว่า เศรษฐกิจไทยเวลานี้กำลังถูกปัจจัยเสี่ยงรอบด้านรุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประกาศกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่กำลังใกล้ถึงเส้นตาย, ความขัดแย้งที่ยังคุกรุ่นในภูมิภาคตะวันออกกลาง, ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา รวมถึงสถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่ยังขาดเสถียรภาพชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจีดีพีที่ลดลงมาอยู่ที่ 1.7% ดังกล่าว เป็นตัวเลขที่คำนวณจากสถานการณ์ที่ยังไม่เลวร้ายที่สุด หากแต่ถ้าเหตุการณ์ต่างๆ ดำเนินไปในทิศทางที่เลวร้ายลง เช่น การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤติ นายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภา ทำให้งบกระตุ้นเศรษฐกิจถูกเบิกจ่ายได้เพียง 25%, สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทยสูงถึง 25-30% และความสัมพันธ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตึงเครียดถึงขั้นต้องปิดด่านการค้าตลอดทั้งปี สถานการณ์เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะที่ย่ำแย่จนจีดีพีขยายตัวได้เพียงแค่ 0.9% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบหลายปี และอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อทุกภาคส่วนของประเทศ
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจและธุรกิจต่างจับตาอย่างใกล้ชิด แนะนำให้ภาคธุรกิจเตรียมแผนรับมือรัดกุมรอบคอบ ควบคุมค่าใช้จ่าย รักษาสภาพคล่อง ประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจให้ดี ในขณะที่ประชาชนทั่วไปก็ควรวางแผนการเงินอย่างระมัดระวัง เพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะเลวร้ายลงต่อเนื่องตลอดครึ่งปีหลังนี้
ขณะที่ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกครึ่งปีแรก 2025 ธนาคารโลก ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้เหลือ 2.3% จากเดิมที่ตั้งไว้ 2.7% เนื่องจากแรงกดดันจากต้นทุนการค้าและนโยบายซื้อขายที่ไม่แน่นอน องค์การสหประชาชาติ (UN) ประมาณการโตที่ 2.4% ในปี 2025 IMF ยังมองว่าเศรษฐกิจโลกอยู่ที่ประมาณ 3.2–3.3% แต่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
วิกฤตเศรษฐกิจโลกถูกคุกคามจากความไม่แน่นอนด้านการค้า (เช่น สงครามภาษีของสหรัฐฯ และจีน), ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ตะวันออกกลาง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูง ตลาดหุ้นโลกยังฟื้นตัว แม้มีแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่อง WTO ชี้ว่าแม้การค้าสินค้าช่วงต้นปีขยายตัวอาจเป็นแค่ชั่วคราว เนื่องจากคำสั่งซื้อส่งออกที่อ่อนแรงขึ้น
ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลัง ธนาคารโลกคาดว่า หากสงครามการค้าไม่ยุติ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีระหว่างประเทศ จะทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตต่ำกว่า 2.3% IMF และ OECD มองว่า GDP ปี 2025 จะอยู่ในช่วง 2.9–3.3%
ธนาคารต่างๆ เช่น Goldman Sachs, JPMorgan, HSBC มองตลาดหุ้นในสหรัฐฯ และโลกมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นครึ่งปีหลัง เนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งและคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันอาจผันผวนจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แต่ยังมีโอกาสฟื้นตัวหากสงครามยุติหรือส่งผลกระทบต่อ supply chain ตลาดกำลังปรับตัวสู่การกระจายการลงทุนมากขึ้นจากสหรัฐฯ ไปยังยุโรป เอเชีย และประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัว เช่น จีน อินเดีย
ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ใช้กลยุทธ์ ผสมสินทรัพย์ เช่น หุ้นที่กำลังปรับตัวดีในกลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์, พันธบัตร และสินทรัพย์ทางเลือก เตือนว่าความเสี่ยงจาก Fed ที่อาจไม่ลดดอกเบี้ยเร็วตามคาด ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจทำให้ตลาดผันผวนหากคาดการณ์ผิดพลาด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เตือนรัดเข็มขัด เศรษฐกิจไทยเข้าสู่โหมด ‘เอาตัวรอด’ กอดเงินสดให้ได้มากที่สุด
- โพลเผยเศรษฐกิจแย่ ทำคนไทยเศร้าสุด งานพระราชพิธี เหตุการณ์ที่สุขที่สุด
- นักการเมืองเยอรมันเปลือยกาย ชวนร่วมทริปเซ็กซ์หมู่ที่ฝรั่งเศส หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
ติดตาม The Thaiger บน Google News: