ข่าว

ไอซ์ รักชนก จี้ถาม นายกขยันปราบแก๊งคอลฯ หลังคลิปเสียงหลุด ก่อนหน้านี้ทำอะไร?

‘ไอซ์ รักชนก’ สส. พรรคประชาชนถามนายกฯ เพิ่งขยันปราบคอลเซ็นเตอร์หลังคลิปเสียงหลุด ก่อนหน้านี้ทำอะไร? ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ จี้รัฐบาลดึงอำนาจคุมชายแดนคืนจากกองทัพ

ยังเป็นประเด็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจอยู่ตลอด ปมความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ล่าสุด ‘ไอซ์ รักชนก ศรีนอก’ สส.กทม. พรรคประชาชน ออกมาให้ความเห็นหลังจากที่มีคลิปเสียงสนทนาของ ‘น.ส.แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี กับ ‘ฮุนเซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา

ไอซ์ รักชนก ตั้งข้อสงสัยผ่านเฟซบุ๊ก รักชนก ศรีนอก – Rukchanok Srinork ระบุว่า “หลายคนอาจจะไม่สังเกต แต่นายกเพิ่งมาขยันจัดการแก๊งคอลเซนเตอร์ฝั่งกัมพูชา ตอนที่มีคลิปเสียงหลุด คำถามคือก่อนหน้านี้ทำอะไร?”

ไอซ์ รักชนก สงสัย นายกฯ เร่งจัดการแก๊งคอล หลังคลิปเสียงหลุด
ภาพจาก Facebook : รักชนก ศรีนอก – Rukchanok Srinork

รักชนก ศรีนอก ได้โพสต์ข้อความผ่านโพสต์ของ ‘นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หรือ เท้ง หัวหน้าพรรคประชาชน ผ่านเฟซบุ๊ก ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ – Natthaphong Ruengpanyawut ระบุว่า “[ การดำเนินมาตรการต่อกัมพูชาต้องมีเป้าหมายเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ปัญหาความนิยมของนายกรัฐมนตรี ] ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยกระดับมาตรการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางไซเบอร์ข้ามชาติที่มีฐานสำคัญอยู่ในกัมพูชา ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้แถลงต่อสื่อมวลชนในวันนี้

แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการที่ท่านนายกฯ ได้มอบอำนาจในการควบคุมจุดผ่านแดนหรือด่านชายแดนไทย-กัมพูชาให้แก่กองทัพ

ผมเห็นว่า การที่รัฐบาลปล่อยให้กองทัพมีอำนาจตัดสินใจออกมาตรการควบคุมชายแดนไทย-กัมพูชาได้โดยลำพังนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะผิดหลักการประชาธิปไตยที่กองทัพต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน

และในกรณีการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชานั้น กองทัพมีหน้าที่รับผิดชอบในการใช้มาตรการทางทหารเพื่อป้องกันประเทศ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีต้องมีบทบาทนำและรับผิดชอบในภาพรวม โดยบูรณาการมาตรการทั้งทางด้านการทหาร ทางด้านการทูต ทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านข้อมูลข่าวสาร และอื่นๆ อย่างเป็นเอกภาพ และคำนึงถึงผลกระทบด้านความมั่นคง ปัญหาเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรอบด้าน

การที่รัฐบาลยอมให้กองทัพมีอำนาจออกมาตรการควบคุมชายแดนไทย-กัมพูชาได้ด้วยตนเองนั้น กองทัพอาจตัดสินใจด้วยมิติด้านความมั่นคงด้านเดียว แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อมิติอื่นๆ นอกเหนือจากที่ตนรับผิดชอบ ทำให้การบริหารสถานการณ์ไม่เป็นเอกภาพ และอาจมีการใช้มาตรการอย่างไม่ได้สัดส่วน

ซึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา กองทัพได้ตัดสินใจออกมาตรการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด ซึ่งเป็นมาตรการที่จะส่งกระทบรุนแรง ไม่ใช่แค่ต่อชาวกัมพูชา แต่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประชาชนไทยด้วย เสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมโดยไม่จำเป็น

เราต้องไม่ลืมว่า มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ เช่น มาตรการจำกัดการนำเข้า-ส่งออกสินค้าบางประเภท หรือมาตรการควบคุมด่านชายแดนนั้น มีเป้าหมายสำคัญเพื่อลดการเผชิญหน้าทางการทหาร ซึ่งมาตรการนี้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนคลายได้หากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการทหารเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว ดังที่ปรากฏให้เห็นก่อนหน้านี้ว่า เพียง 2 วันหลังจากไทยมีมาตรการควบคุมด่านชายแดน สถานการณ์ความตึงเครียดทางทหารระหว่างไทย-กัมพูชาได้ผ่อนคลายลง นำไปสู่การลาดตระเวนร่วมโดยปราศจากอาวุธ และทางการกัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาท แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ทางการไทยกลับไม่ได้ปรับระดับมาตรการควบคุมด่านชายแดนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จนกระทั่งเกิดกรณีการปล่อยคลิปเสียงระหว่างท่านนายกฯ แพทองธาร กับฮุน เซน

ผมเข้าใจดีว่า หลังจากมีเสียงเรียกร้องให้ท่านนายกฯ ต้องรับผิดชอบต่อกรณีคลิปเสียงดังกล่าวอย่างกว้างขวาง ท่านนายกฯ ย่อมต้องการที่จะลดแรงกดดันทางการเมืองต่อตนเอง

แต่ผมขอเน้นย้ำว่า การดำเนินการต่อกรณีพิพาทไทย-กัมพูชานั้น ต้องไม่ทำเพียงเพื่อแก้ปัญหาคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรี แต่ควรพิจารณาโดยมีเป้าหมายเพื่อการนำกัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจาและการแก้ปัญหาด้วยกลไกทวิภาคี นำไปสู่ข้อตกลงที่นานาชาติยอมรับ และเพื่อให้ประเทศเพื่อนบ้านสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

รัฐบาลควรนำ “ไพ่ในมือ” หรือมาตรการที่เป็นไปได้ทั้งหมดมาพิจารณาใช้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์และเป้าหมาย การตัดสินใจใดๆ ต้องประเมินจากภาพรวมทั้งหมด ไม่ใช่ปล่อยให้หน่วยงานใดตัดสินใจเองจากเหตุการณ์เฉพาะหน้า เพราะแต่ละหน่วยงานย่อมคำนึงถึงผลกระทบเฉพาะในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบเท่านั้น

ผมจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนไม่ให้กองทัพมีอำนาจตัดสินใจใช้มาตรการใดๆ ต่อกรณีพิพาทไทย-กัมพูชาได้โดยลำพัง อำนาจในการตัดสินใจและความรับผิดชอบต้องเป็นของรัฐบาล โดยยึดถือเป้าหมายคือการคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ ไม่ใช่เพียงเพื่อพิทักษ์ความอยู่รอดของรัฐบาล

รัฐบาลต้องใช้มาตรการที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างรอบคอบเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทั้งนี้ ผมสนับสนุนให้เน้นมาตรการที่สามารถกดดันไปยังเครือข่ายผู้มีอิทธิพลทางการเมืองของกัมพูชาโดยตรงแทนที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนวงกว้าง เช่น การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางไซเบอร์ข้ามชาติดังที่ท่านนายกฯ ได้แถลงในวันนี้

นอกจากนี้ รัฐบาลควรเร่งสืบสวนสอบสวนและเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารนายลิม กิมยา นักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา ในใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ผมเชื่อว่า การดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังจะส่งผลดีต่อการคลี่คลายสถานการณ์ไทย-กัมพูชา รวมทั้งจะส่งผลดีต่อตัวท่านนายกฯ เองที่ถูกมองได้ว่ามีส่วนรู้เห็นให้ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในกัมพูชาสามารถกระทำผิดกฎหมายในไทยได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการปล่อยให้ผู้นำต่างชาติละเมิดกระบวนการยุติธรรมและอธิปไตยของประเทศ”

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

sukanlaya s.

นักเขียนบทความ SEO ประจำเว็บไซต์ The Thaiger จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชี่ยวชาญงานเขียนประเภท ข่าวกระแสสังคม และบทความไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น รีวิวที่เที่ยว เทรนด์แฟชั่นและความงาม พร้อมแนะนำกระแสมาแรง ทันเหตุการณ์ ช่องทางติดต่อ ying@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx