ประวัติ พล.อ.สุจินดา คราประยู อดีตนายกฯ คนที่ 19 สู่ชนวนเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ

ย้อนประวัติ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 19 ปิดตำนานผู้นำรัฐประหาร ถึงแก่อสัญกรรมแล้วอย่างสงบด้วยโรคชรา สิริอายุ 91 ปี
ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดของ พลเอก สุจินดา คราประยูร ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือ บทบาทสำคัญของท่านในการทำ รัฐประหาร พ.ศ. 2534 และการเผชิญหน้ากับประชาชนในเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองครั้งใหญ่ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้นำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านในที่สุด
พลเอก สุจินดา คราประยูร เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2476 ท่านเป็นทั้งนายทหารและนักการเมืองคนสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เคยดำรงตำแหน่งสูงสุดทั้งในกองทัพและฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็น ผู้บัญชาการทหารบก, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ของประเทศไทยอีกด้วย

เส้นทางของ พลเอก สุจินดา คราประยูร จากทหารผู้เงียบขรึม สู่ผู้นำที่สังคมไม่ลืม
“เสียสัตย์เพื่อชาติ” ประโยคสั้น ๆ แต่สะท้อนชะตาทางการเมืองของ พลเอก สุจินดา คราประยูร ได้ดีที่สุด จากนายทหารที่ไม่ชอบแสงไฟ สู่ผู้นำประเทศที่ถูกประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย และจบลงด้วยการลาออกกลางแรงกดดันจากประชาชน
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก สุจินดา เติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนายสถานีรถไฟ ส่วนแม่ประกอบอาชีพขายของเล็ก ๆ ในตลาด พอสงครามโลกครั้งที่ 2 ปะทุ สุจินดาและครอบครัวจึงต้องย้ายไปอาศัยญาติที่หนองคาย จนกระทั่งเสียงปืนของสงครามสงบ ก่อนจะกลับมากรุงเทพฯ แล้วเรียนจบจบในระดับการศึกษา ม.8 จากอำนวยศิลป์
ครั้งนั้น สุจินดา ฝันอยากเป็นหมอ แต่พอเรียนเตรียมแพทย์จุฬาฯ ได้ปีเดียว ก็หันหัวลงสนามวัดใจ สอบเข้าเตรียมทหารและจปร. รุ่น 5 แทน
ว่าที่ร้อยตรีสุจินดารับพระราชทานกระบี่ปี พ.ศ. 2501 ก่อนจะเริ่มต้นสายทหารอาชีพจาก กองพันปืนใหญ่ ก่อนบินไป ฟอร์ทซิลล์ ฟอร์ทลีเวนเวิร์ธ สหรัฐฯ ฝึกหลักสูตรปืนใหญ่จนคว้าที่ 1 ของรุ่น กลับไทยพร้อมเหรียญเชิดชูฝีมือ
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชื่อของ สุจินดา คราประยูร เริ่มฉายแววโดดเด่นในกองทัพ คือการที่ท่านถูกส่งตัวไปร่วมภารกิจในสงครามเวียดนามเมื่อช่วงปลายปี พ.ศ. 2503 ประสบการณ์จากสนามรบจริงในครั้งนั้น ได้หล่อหลอมให้นายทหารหนุ่มได้รับฉายาติดตัวว่า “ไอ้หนุ่มปืนใหญ่” จนเป็นที่รู้จักและสร้างชื่อเสียงโด่งดังในกองทัพ
หลังจากนั้น เส้นทางในกองทัพของท่านก็เรียกได้ว่ารุ่งโรจน์ ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ได้ก้าวขึ้นคุมอำนาจเบ็ดเสร็จในฐานะ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2533 และควบตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) อีกหนึ่งตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2534 ถือเป็นการกุมอำนาจสูงสุดทั้งในกองทัพบกและกองบัญชาการทหารสูงสุดในเวลาไล่เลี่ยกัน

จากผู้นำรัฐประหาร สู่ “นายกฯ คนนอก”
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 พลเอกสุจินดาในฐานะแกนนำ รสช. ร่วมทำรัฐประหารโค่นรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ โดยอ้างว่า “นักการเมืองโกงกิน”
แม้สุจินดาจะประกาศไม่รับตำแหน่งทางการเมือง แต่หลังการเลือกตั้ง มีพรรคใหญ่ 5 พรรคเสนอชื่อเขาเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ไม่ได้ลงสมัคร สส.
พล.อ.สุจินดาได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2535 นับเป็นนายกรัฐมนตรี คนนอก ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาฯ ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง แต่เจ้าตัวกลับกล่าวภายหลังเข้ารับตำแหน่งว่า “เสียสัตย์เพื่อชาติ” เพื่ออธิบายการเปลี่ยนใจของตนเอง
ทำให้ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2535 ร.ต.ฉลาด วรฉัตร ได้อดอาหารประท้วงเรียกร้องให้พล.อ.สุจินดาลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพลังธรรม ได้นัดชุมนุมใหญ่ของประชาชนเพื่อกดดันรัฐบาล เนื่องจากไม่ยอมรับการขึ้นสู่อำนาจของพล.อ.สุจินดาและต้องการให้มีนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยแท้จริง

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพล.อ.สุจินดา กับผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 จนเกิดเหตุการณ์จลาจลและปราบปรามผู้ชุมนุมครั้งใหญ่ระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม ซึ่งภายหลังถูกเรียกว่า “พฤษภาทมิฬ”
การใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ถือเป็นเหตุการณ์นองเลือดทางการเมืองครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9) ได้ทรงมีพระราชดำรัสต่อพล.อ.สุจินดาและพล.ต.จำลอง (ซึ่งทั้งสองถูกเชิญเข้าเฝ้าฯ) ให้ยุติความขัดแย้งและหาทางออกโดยสันติ
ถัดจากนั้นไม่นาน พล.อ.สุจินดาจึงประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ยุติบทบาทการเมืองของตนเองลงอย่างกะทันหันเพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์ในครั้งนั้น

การถึงแก่อสัญกรรมและปฏิกิริยาของสังคม
หลังลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุจินดาได้วางมือจากการเมืองและดำรงชีวิตอย่างสงบในช่วงบั้นปลายของวัย เขาใช้เวลากับครอบครัว โดยคู่สมรสของเขาคือคุณหญิงวรรณี คราประยูร (หนุนภักดี) ซึ่งอยู่เคียงข้างมาตลอดจนกระทั่งเธอถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2564 ขณะอายุ 84 ปี
ต่อมา พล.อ.สุจินดา คราประยูร ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่อเวลา 01:57 น. ของวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สิริอายุได้ 91 ปี 10 เดือน 4 วัน
ข่าวการเสียชีวิตของเขาได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เนื่องจากถือเป็นการปิดฉากบุคคลสำคัญที่เคยมีบทบาททั้งในกองทัพและการเมืองไทยช่วงปลายศตวรรษที่ 20
สื่อมวลชนได้ย้อนรำลึกถึงบทบาทของ “บิ๊กสุ” ในฐานะผู้นำรัฐบาลคนนอกที่ครองอำนาจเพียงช่วงสั้นๆ แต่กลับทิ้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬไว้ให้เป็นบทเรียนทางประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ของสังคมไทย ซึ่งนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองในระยะยาวต่อมา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ในหลวง พระราชทานยศทหาร พลเอกหญิง พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี
- เปิดกำหนดการ สวดพระอภิธรรม “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” 11-17 มิ.ย.
- ด่วน! พล.อ.สุจินดา อดีตนายกคนที่ 19 ถึงแก่อสัญกรรม สิริอายุ 91 ปี
อ้างอิง : วิกิพีเดีย สุจินดา คราประยูร, WAYBACKMACHINE
ติดตาม The Thaiger บน Google News: