ข่าวข่าวต่างประเทศ

หนุ่ม 29 ก้างปลาติดคอ กลืนข้าว-น้ำส้มสายชู สุดท้ายอ้วกเป็นเลือด เสียชีวิต

หนุ่มวัย 29 ก้างปลาติดคอ พยายามแก้ด้วยวิธีพื้นบ้าน “ดื่มน้ำส้มสายชู-กลืนข้าวคำโต” หวังดันก้างหลุด สุดท้ายอาการหนัก อาเจียนเป็นเลือด ก่อนเสียชีวิต แพทย์ย้ำ 5 ทางรอด

กลายเป็นอุทาหรณ์ราคาแพงที่ต้องแลกด้วยชีวิต เมื่อชายชาวจีนวัยเพียง 29 ปี ต้องเสียชีวิตลงอย่างน่าสลด หลังจากพยายามแก้ไขปัญหาก้างปลาติดคอด้วยวิธีพื้นบ้านที่ได้รับการสอนมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า จนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิตในที่สุด

สื่อจีน ระบุว่า หนุ่มผู้โชคร้ายคนนี้กำลังมีความสุขกับการรับประทานเมนูปลาตุ๋นซีอิ๊ว แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อเขารู้สึกว่ามีก้างปลาขนาดใหญ่ติดอยู่ที่ลำคอ ด้วยความตกใจเขาจึงรวบรวมสติแล้วทำการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าตามวิธีพื้นบ้านดั้งเดิมที่ลูกหลานทุกบ้านต้องได้รับการสอนมาตั้งแต่เด็ก คือ การดื่มน้ำส้มสายชู และกลืนข้าวปั้นก้อนตามลงไป เพียงเพราะหวังว่ามันจะทำให้ก้างปลาที่ติดคออยู่นั้นอ่อนตัวและไหลหลุดลงไปได้

ทว่าเรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเช้าวันต่อมา เขาเริ่มรู้สึกเจ็บคออย่างรุนแรงเวลากลืนน้ำลาย ก่อนจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน แพทย์ได้ทำการตรวจอย่างละเอียดและต้องพบกับภาพที่น่าตกใจ คือ ก้างปลาความยาวถึง 5 เซนติเมตร ได้ทิ่มทะลุหลอดอาหารส่วนบน และยังทะลุไปถึงหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอก (Thoracic Aorta) ทำให้เกิดภาวะเลือดออกภายในจำนวนมหาศาล แม้ทีมแพทย์จะพยายามผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตอันมีค่าของเขาไว้ได้

กรณีการเสียชีวิตของหนุ่ม 29 คนนี้ ทำให้แพทย์ต้องออกมาเตือนประชาชนอีกครั้งถึงการรักษาอาการก้างติดคอแบบพื้นบ้านด้วยการ กลืนน้ำส้มสายชู และกลืนข้าวปั้นก้อนตามไปนั้น มันไม่ได้ช่วยให้ก้างปลา หรือสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่หลุดออกมาได้ แต่ยิ่งทำให้มันฝังลึกกว่าเดิม หรืออาจจะเคลื่อนที่ไปทิ่มแทงอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่สำคัญภายใน จนเกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม เหมือนเคสข้างต้น

นายแพทย์ฟาง กวานเจี๋ย (方冠傑) หัวหน้าแผนกเวชศาสตร์บูรณาการ โรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัยการแพทย์ไทเป เคยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการป้องกันและการปฏิบัติตัวเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมติดคอ โดยเน้นย้ำถึงหลักการ “4 ไม่ 1 รีบ” ดังนี้

  1. ไม่กินเพิ่ม: อย่าพยายามกลืนข้าวคำใหญ่ๆ หรือดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อดันสิ่งแปลกปลอมลงไป เพราะส่วนใหญ่มักจะยิ่งทำให้สิ่งแปลกปลอมติดลึกและแน่นขึ้นกว่าเดิม
  2. ไม่ล้วงคอให้อาเจียน: การพยายามทำให้อาเจียน อาจกระตุ้นให้หลอดอาหารบีบตัวผิดปกติ กรดไหลย้อน และอาจดันสิ่งแปลกปลอมให้ลึกลงไป เพิ่มความเสี่ยงที่หลอดอาหารจะทะลุได้
  3. ไม่ดื่มน้ำส้มสายชู (หรือของเหลวกรด/ด่างอื่นๆ): ไม่สามารถช่วยละลายสิ่งแปลกปลอมได้ และอาจทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารระคายเคืองหรือเสียหายมากขึ้น
  4. ไม่กินยาเอง: อย่ากินยาแก้อักเสบหรือยาแก้ปวดเพื่อหวังบรรเทาอาการ เพราะยาเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกไป และอาจทำให้ไปพบแพทย์ล่าช้า
  5. รีบไปพบแพทย์: สิ่งสำคัญที่สุดคือการรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก หรือแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร เพื่อให้ช่วยนำสิ่งแปลกปลอมออกอย่างถูกวิธีและปลอดภัย หากปล่อยไว้นาน อาจเกิดการติดเชื้อลุกลาม หรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

เหตุการณ์นี้จึงเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้ทุกคนระมัดระวังในการรับประทานอาหาร และเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อข่าว

อ่่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ้างอิงจาก : ettoday

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

GIFT T.

Rewriter สาวจากรั้วสวนดุสิต เก็บเกี่ยวประสบการณ์งานข่าวมากว่า 5 ปี ชื่นชอบการส่งต่อเรื่องราวเกี่ยวกับ ไลฟ์สไตล์ หวย และข่าวบันเทิง พร้อมเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้นักอ่านได้เห็นประเด็นรอบด้านมากยิ่งขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx