ข่าว

สตง. ไม่ยอมแพ้ สร้างตึกใหม่ เน้นเรียบง่าย ติดแอร์ธรรมดา งบไม่ถึง 2 พันล้าน

กมธ.งบฯ สภาฯ จี้ปมตึก สตง. ถล่ม – สตง. แจงไทม์ไลน์สัญญา เล็งสร้างใหม่แนวราบ เน้นเรียบง่าย ไม่เน้นเทคโนโลยีเกินจำเป็น แอร์ติดผนังธรรมดา

เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 10 เมษายน 2568 ณ อาคารรัฐสภา ได้มีการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่รับผิดชอบด้านการศึกษาและติดตามการใช้งบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อจากพรรคประชาชน ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ โดยวาระสำคัญคือการตรวจสอบการบริหารงบประมาณในโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่ประสบเหตุพังทลายจากเหตุแผ่นดินไหว

การประชุมครั้งนี้ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้ว่าการ สตง., ผู้บริหารระดับสูงจากกรมบัญชีกลาง กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึงนายกองค์กรวิชาชีพด้านวิศวกรรม ได้แก่ สภาวิศวกร สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ

นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ ในฐานะรองผู้ว่าการและโฆษก สตง. ได้ชี้แจงรายละเอียดโครงการว่า อาคารดังกล่าวถูกจัดเป็นอาคารสูงพิเศษตามนิยามใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จึงต้องมีการว่าจ้างบริษัทเพื่อดำเนินการออกแบบ คือ บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยงบประมาณ 73 ล้านบาท ส่วนผู้รับจ้างก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ และ บจก.ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย)

ข้อตกลงการก่อสร้างได้ลงนามเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 โดยมีการปรับปรุงแก้ไขสัญญารวม 9 ครั้ง วงเงินตามสัญญาเริ่มต้นที่ 2,560 ล้านบาท ขณะที่ราคากลาง ณ เวลาประมูลอยู่ที่ 2,522 ล้านบาท แต่กิจการร่วมค้าฯ ชนะประมูลไปด้วยราคา 2,136 ล้านบาท ซึ่งหลังการปรับแก้สัญญาและเนื้องาน มูลค่าสัญญาล่าสุดอยู่ที่ 2,131 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี แบ่งเป็น 36 งวดงาน

โฆษก สตง. กล่าวเสริมถึงไทม์ไลน์ว่า การก่อสร้างเริ่มต้นจริงเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564 หลังการส่งมอบพื้นที่ และควรจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 อย่างไรก็ตาม ได้มีการขยายระยะเวลาสัญญาออกไป 2 ครั้ง อันเนื่องมาจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 และการแก้ไขสัญญา ทำให้กำหนดแล้วเสร็จเลื่อนเป็นวันที่ 3 มิถุนายน 2567 และต่อมามีการปรับแผนงานตามแนวทางหนังสือราชการ (วอ.1459) ขยายไปถึง 14 มิถุนายน 2568 โดยไม่มีการคิดค่าปรับตามหนังสือ วอ.3693 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2568

สตง. ได้เช่าพื้นที่ของการรถไฟฯ ขนาด 10 ไร่ เพื่อรองรับเจ้าหน้าที่ประมาณ 2,400 คน และหน่วยงานภายใน 50 หน่วย ซึ่งโครงการประกอบด้วยอาคารสำนักงาน อาคารจอดรถ และอาคารอบรม จึงมีความจำเป็นต้องสร้างเป็นอาคารสูง ในขั้นตอนการออกแบบ ได้มีการปรึกษาหารือด้านกฎระเบียบกับสำนักงานอัยการสูงสุด 2-3 ครั้ง ก่อนจะได้ผู้ชนะการออกแบบและผู้รับจ้างก่อสร้างคือ บมจ.อิตาเลียนไทยฯ ซึ่งเป็นผู้ลงนามในสัญญา ทาง สตง. ได้สอบถามถึงความเป็นไปได้ในการลดราคาจากราคากลางลงกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทฯ ยืนยันว่าสามารถทำได้เนื่องจากมีเงินทุนและเครื่องมือพร้อม ทำให้วงเงินก่อสร้างลดลงจาก 2,522 ล้านบาท มาอยู่ที่ 2,136 ล้านบาท ตามราคาที่เสนอ โดยต้องได้อาคารตามแบบที่กำหนด สตง. ได้จ่ายเงินค่างวดงานไปแล้ว 22 งวด รวมเป็นเงิน 966 ล้านบาท (รวมเงินจ่ายล่วงหน้า)

เนื่องจากเป็นโครงการมูลค่าสูง สตง. ได้ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) กับกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี โดย สตง. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายสำหรับคณะกรรมการข้อตกลงคุณธรรม ปีละ 2 แสนบาท เป็นเวลา 3 ปี รวม 6 แสนบาท

อย่างไรก็ดี นายสุทธิพงษ์เปิดเผยว่า ณ วันที่ 17 มีนาคม 2567 ความคืบหน้าของงานควรจะอยู่ที่ 86.77% หากดำเนินการตามแผน แต่กลับทำได้เพียง 33% ทำให้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 คณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ลงมติให้เสนอขอยกเลิกสัญญา แต่กระบวนการดังกล่าวต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากผู้มีอำนาจอนุมัติหมดวาระลงก่อน และต้องรอผู้บริหารชุดใหม่เข้ามารับตำแหน่ง

ภายหลังเหตุการณ์อาคารพังทลาย โฆษก สตง. ยืนยันว่า สตง. จะไม่นิ่งเฉยและได้ติดตามสถานการณ์ที่หน้างานทุกวัน รวมถึงให้การดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม สตง. จะไม่จัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงภายในองค์กรเอง เพราะเชื่อว่าอาจทำให้เรื่องยุติลงโดยไม่ได้ข้อสรุปที่แท้จริง จึงต้องการให้หน่วยงานภายนอกที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาตรวจสอบ เพื่อชี้ชัดถึงสาเหตุและผู้ที่ต้องรับผิดชอบ เนื่องจาก สตง. มีเอกสารหลักฐานโดยละเอียดในทุกขั้นตอนอยู่แล้ว

สำหรับแนวทางในอนาคต นายสุทธิพงษ์ระบุว่า โครงการก่อสร้างจะต้องดำเนินต่อไป แต่จะยกเลิกแผนการสร้างอาคารสูง โดย สตง. ได้เช่าพื้นที่ด้านหน้าเพิ่มอีก 4 ไร่ และจะปรับแก้แบบเป็นอาคารแนวราบขนาดประมาณ 50×100 ตารางวา เน้นความเรียบง่าย ใช้งานได้จริง เช่น ใช้เครื่องปรับอากาศแบบติดผนังธรรมดา เพื่อความสะดวกในการบำรุงรักษา แล้วค่อยเพิ่มเติมเทคโนโลยีที่ทันสมัยในส่วนของการทำงาน คาดว่า งบประมาณก่อสร้างใหม่จะไม่ถึง 2,000 ล้านบาท โดยจะใช้งบประมาณส่วนที่เหลืออยู่ และจะก่อสร้างในตำแหน่งที่ขยับมาด้านหน้า ไม่ทับซ้อนกับบริเวณที่เกิดเหตุ

ในประเด็นเรื่องคุณภาพวัสดุ ตัวแทน สตง. ชี้แจงว่า สำหรับเหล็ก ได้กำหนดมาตรฐาน มอก. (เหล็กตัวที) ตามที่ระบุในเอกสาร ซึ่ง สตง. ทำหน้าที่ตรวจสอบตามเอกสารเนื่องจากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม และได้รับการยืนยันว่าเหล็กดังกล่าวสามารถใช้งานได้ โดยมีข้อสังเกตว่าเหล็กชนิดนี้ไม่ควรเชื่อมแต่ให้ใช้ข้อต่อเชิงกลแทน และมีการทดสอบการดัดโครงแล้ว ส่วนคอนกรีตก็มีการกำหนดมาตรฐานและผ่านการทดสอบทางโครงสร้าง ซึ่งค่าความแข็งแรงที่วัดได้ (ประมาณ 400 กว่า) สูงกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ นายสุทธิพงษ์กล่าวเสริมว่า การตรวจสอบแหล่งที่มาของปูนซีเมนต์ทำได้ไม่ยากเพราะมีผู้ผลิตเพียงสองราย และปฏิเสธข้อสังเกตว่าอาคารยังเซ็ตตัวไม่สมบูรณ์ โดยระบุว่าอาคารได้ตั้งอยู่มานานถึง 4 ปีแล้ว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button