
ศิริกัญญา นำทีมเศรษฐกิจ ปชน. แนะนำรัฐบาลเจรจา-ต่อรอง กำแพงภาษี 36 % สหรัฐด่วน ยันเกิดผลกระทบแน่นอน ไม่งั้นจีดีพีหดตัวแน่
วันนี้ (3 เม.ย.) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) นำทีมนโยบายเศรษฐกิจ กล่าวถึงกรณีนโยบายขึ้นกำแพงภาษี 36% ของสหรัฐอเมริกา ว่า เป้าประสงค์ของครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนที่ต้องการแค่ลดการขาดดุลการค้า เพราะรอบนี้ต้องการรายได้เข้ารัฐเพื่อทดแทนภาษีเงินได้ที่กำลังจะประกาศลด และต้องการให้นักลงทุนย้ายฐานกลับสหรัฐฯ
ส่วนข้อสงสัยว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไรนั้น “ศิริกัญญา” กล่าวว่า จีดีพีไทย 2568 จะขึ้นอยู่กับการเจรจา ตนขอให้รัฐบาลใช้การเจรจาอย่างเร่งด่วน-รัดกุม เพราะหากไม่ทำอะไรเลยหรือการเจรจาไม่เป็นผล จะกระทบกับมูลค่าส่งออกรวมมากกว่า 1% และจีดีพีอาจหดตัวมากกว่านั้น จนต่ำกว่าเป้า 2% ได้
หากรัฐบาลสามารถเจรจาลดภาษีเหลือ 25% จีดีพีก็จะลด 0.8% แต่ถ้าสามารถทำได้ถึงขั้นต่ำสุดตามที่ “ทรัมป์” ประกาศ 10% จีดีพีจะลดลงราว 0.3% เท่านั้น โดยสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักคือ อุปกรณ์สื่อสาร ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ยางล้อ เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งจะไม่ใช่แค่ภาคส่งออกเท่านั้น แต่การลงทุนของบริษัทต่าง ๆ ก็จะหยุดชะงักเนื่องจากต้องรอให้ฝุ่นหายตลบถึงจะตัดสินใจลงทุนกันครั้งใหม่
ดังนั้นตนขอเสนอไปยังรัฐบาลและคณะทำงาน-เจรจา ว่า ต้องเรียกร้องให้มีการทบทวน โดยนำตัวเลขอื่นที่สหรัฐฯ ยังไม่นำมาคำนวณ เช่น ดุลบริการ ที่สหรัฐฯ ได้ดุลกับไทยอยู่แล้ว

ขณะที่นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรค กล่าวเสริมว่า เสนอให้แยกผลกระทบออกเป็น 2 ส่วน คือ ผลทางตรง ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่พึ่งตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก เช่น คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางรถยนต์ กลุ่มนี้จะได้รับผลรุนแรงรวดเร็ว เพราะเราส่งออกไปสหรัฐฯ รวมแล้ว 55,000 ล้านเหรียญ คิดเป็น 19% ของการส่งออกทั้งหมด และเกินดุลกับสหรัฐฯ ถึง 45,600 ล้านเหรียญ แม้การขยายตัวของการส่งออกช่วงไตรมาสแรกปีนี้ค่อนข้างดี เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่เร่งส่งออกสินค้าไปสต็อกไว้ที่สหรัฐฯ ก่อน เพื่อหนีความไม่แน่นอนของนโยบายกำแพงภาษีที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
ส่วนสิ่งที่อย่าละเลยคือผลกระทบทางอ้อม 3 ชั้นที่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่ ชั้นที่ 1 สินค้าที่ส่งไปยังประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ไทยส่งออกไปเม็กซิโก เพื่อประกอบส่งเข้าสหรัฐฯ อีกทีนั้น มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท ชั้นที่สอง การแข่งขันรุนแรงขึ้นในตลาดประเทศอื่น ๆ จากการที่ผู้ส่งออกหนีจากตลาดสหรัฐฯ เช่น ออสเตรเลีย แถมยังมีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เข้ามาชิงส่วนแบ่งของไทย
สุดท้าย ชั้นที่สาม สินค้าขั้นกลาง เช่น ยางพาราและเม็ดพลาสติกที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อเข้าตลาดสหรัฐฯ ยอดตรงนี้ก็จะตกลงไปด้วย

นายวีระยุทธ เสนอแนวทางการรับมือเฉพาะหน้าว่าไทยต้องเจรจาอย่างมียุทธศาสตร์ “อย่าให้ทีเดียวหมด เก็บไพ่ในมือไว้ปล่อยทีละใบ” โดยมีตัวอย่างไพ่ใบสำคัญที่ไทยอาจนำมาเป็นกลยุทธ์ต่อรองได้ คือ มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ที่ไทยมีอยู่ 166 มาตรการ ต้องเอามาจัดลำดับความสำคัญว่าแต่ละตัว หากเปิดให้สหรัฐฯ แล้วจะส่งผลต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคไทยอย่างไร เลือกทำเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก่อน เช่น เพิ่มสิทธิแรงงาน จากนั้นเปิดรับการนำเข้าแบบ “มียุทธศาสตร์” คือ เลือกสินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งของซัพพลาย
ทั้งนี้ย้ำว่า รัฐบาลต้องเปิดข้อมูลผู้ได้ผู้เสียจากของที่จะเอาไปต่อรอง อย่ามุบมิบเจรจา อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับการเปิดเสรีกับจีนที่ผู้เสียประโยชน์ไม่รู้ตัวและไม่ได้รับความช่วยเหลือให้เตรียมพร้อมรับมือ และเหนืออื่นใด คือต้องเริ่มจินตนาการถึง “โลกที่ไม่มีอเมริกาและจีน” ว่าไทยจะปรับซัพพลายเชนแต่ละสินค้าอย่างไร เพื่อรับมือภาวะสงครามการค้าที่จะหนักขึ้นเรื่อย ๆ

ต่อมา นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ ปชน. แนะนำว่าให้ (รัฐบาล) พร้อมรับมือการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจีนที่จะรุนแรงขึ้นอีก หลายเรื่องรัฐบาลพูดมานานอยู่ในแผนที่จะทำ แต่ยังไม่มีกำหนดเสร็จชัดเจน เช่น
- การกำกับแพลตฟอร์ม การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ต้องจดทะเบียนนิติบุคคลในไทย เพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การให้ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มออนไลน์มีส่วนรับผิดชอบหากปล่อยให้มีการขายสินค้าไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์ม
- การเพิ่มจำนวนมาตรฐานบังคับเพื่อขยายความคุ้มครองประเภทสินค้าให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงและเจ้าหน้าที่สามารถยึดอายัดได้
สิทธิพล อธิบายว่า เรื่องเหล่านี้รัฐบาลพูดมาตั้งแต่กันยายนปี 67 แต่ยังไม่มีการออกมาตรการมาบังคับใช้ เช่น เรื่องการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ต้องจดทะเบียนนิติบุคคลในไทย เพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามคือ เรื่องนี้เมื่อไหร่จะเสร็จ เพราะตราบใดที่ยังไม่เสร็จ รัฐก็ไม่มีประสิทธิภาพในการกำกับควบคุมมาตรฐาน คุณภาพสินค้า การตรวจสอบภาษี ตลอดจนการลงโทษหากผู้ประกอบการต่างชาติกระทำผิด เรื่องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าถึงการดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้า ทุกวันนี้มีเรื่องร้องเรียนจากผู้ประกอบการจำนวนมาก ว่า ถูกสินค้าจากต่างชาติทุ่มตลาด หลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด
กระทั่งได้รับการสนับสนุนอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งภายใต้กระบวนการปัจจุบัน ภาคเอกชน ผู้ประกอบการประสบความยากลำบากในการรวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง รัฐจะสามารถช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกมากกว่านี้ได้อย่างไร เช่นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด การตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
อีกทั้งเรื่องมาตรฐานบังคับผ่านมาครึ่งปี ที่อยู่ในลิสต์ว่าจะออกมาตรฐานก็มีจำนวนเท่าเดิม จำนวนที่เพิ่มและมีผลบังคับใช้แล้วมีเพียง 1-2 มาตรฐาน ความเร็วในอัตรานี้ ไม่เพียงพอต่อการกำกับสินค้าต่างชาติ
นอกจากนี้สิ่งที่ยังควรเร่งรัด คือ การตรวจจับที่ด่านศุลกากรให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากเป็นด่านแรกของการที่สินค้าเหล่านี้เข้ามาในประเทศ แม้รัฐบาลจะบอกว่าปัจจุบันตรวจสอบเพิ่มขึ้นแล้ว บางช่องทางถึงขนาดบอกสกรีน 100% แต่การที่สินค้าเหล่านี้ยังรอด แสดงให้เห็นว่าการตรวจยังมีช่องโหว่

ทั้งนี้ “ศิริกัญญา” กล่าวปิดท้ายว่า เตรียมยื่นญัตติด่วนเรื่องนี้ในวันที่ 9 เมษายน แต่คงต้องสู้รบปรบมือกับรัฐบาล เนื่องจากตอนนี้มีความพยายามเลื่อนวาระเอาร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทรนเมนต์คอมเพล็กซ์มาพิจารณา ซึ่งเราคิดว่าเรื่องกำแพงภาษีเร่งด่วนกว่ามาก จึงสมควรที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดเผย
อีกทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเรามันรุนแรงและกว้างขวาง คงต้องมีการประสานผ่านทางวิป และรัฐบาลต้องมีมาตรการเยียวยาให้กับประชาชน ส่วนตัวเชื่อว่าผู้ได้รับผลกระทบ เช่น SMEs อาจมีความโกลาหลได้
ขณะเดียวกัน ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาชน จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และใช้กลไกกรรมาธิการและการสื่อสารสาธารณะในการเสนอแนะรัฐบาล เพราะสงครามการค้ามีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต
อ่านข่าวที่เกิดขึ้น
- ทรัมป์มั่วตัวเลข ‘จุลพันธ์’ ไม่แปลกใจแต่ ‘ศิริกัญญา’ ช็อก ทรัมป์ขึ้นภาษี 36%
- ทรัมป์ขึ้นภาษีไทย 36% แนะทางรอดส่งออก ฝ่าพายุเศรษฐกิจเขย่าการค้าโลก
- “ทรัมป์” สั่งตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าทั่วโลก ไทยอ่วมโดน 36%