อ.เจษฎา เตือนอย่าเชื่อ ‘อดข้าวรักษามะเร็ง’ อ้างชื่อนักวิทย์ฯ เจ้าของรางวัลโนเบล

อาจารย์เจษฎา โพสต์เตือนสติคนไทย อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม “อดอาหารรักษามะเร็ง” ไม่เป็นความจริง แอบอ้างใช้ชื่อ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล
ช่วงพักหลัง ๆ มานี้โลกออนไลน์มีการแชร์ข้อมูลที่อ้างว่า “นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น เจ้าของรางวัลโนเบล แนะอดอาหารรักษามะเร็ง” ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดถึงกันเป็นวงกว้าง ล่าสุด อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เตือนภัยข่าวปลอม “อดอาหารรักษามะเร็ง” พร้อมให้ความรู้เพิ่มเติม ผ่าทางหน้าเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant โดยระบุว่า
“ดร. โยชิโนริ โอซุมิ Yoshinori Ohsumi ไม่ได้ออกมาสนับสนุนให้คนอดอาหารกัน” ครับ
ข่าวปลอมอันนี้เป็นเรื่องเก่ามากหลายปีแล้ว แต่ก็ยังวนเวียนกลับมา ถ้าช่วงไหนกระแส “อดอาหาร” กำลังมาแรง ไม่ว่าจะอดอาหารตามความเชื่อทางศาสนา หรืออดอาหารตามแนวทางลดความอ้วน (เช่น IF)
จริง ๆ ดร. โยชิโนริ โอซุมิ แม้ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ที่ได้รางวัลโนเบลในปี คศ. 2016 เกี่ยวกับกลไกการเกิด autophagy (หรือกลไกการกินตัวเอง ที่เซลล์จะสลายตัว และนำเอาองค์ประกอบเหล่านั้นมาสร้างเซลล์ใหม่) แต่งานวิจัยของเขาก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่คนเราจะอดอาหารแต่อย่างไร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่อง “อดอาหาร ต้านมะเร็ง ต้านอัลไซเมอร์ ฯลฯ”
โพสต์ข่าวปลอมทำนองเดียวกันนี้ ยังมีเอาไปอ้างอิงถึงนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ เช่น เจมส์ อัลลิสัน James Allison นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน และ ทาซุกุ ฮอนโจ Tasuku Honjo นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ที่ได้รับรางวัลโนเบล ในปี ค.ศ. 2018 ด้วย จากการศึกษาเรื่องการปรับเปลี่ยนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้ต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ และนำไปสู่ความรู้ด้าน immunotherapy (หรือการรักษาโรค ด้วยภูมิคุ้มกัน) ที่ทำให้เกิดเป็นยากลุ่ม check-point inhibitor ที่ช่วยทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมาทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่อง “อดอาหาร ต้านมะเร็ง”
(ข้อมูลจาก https://www.thequint.com/…/fake-news-nobel-prize-for…)
ก่อนหน้านี้ ในปี พ.ศ. 2559 รายการ “ชัวร์ก่อนแชร์” ของสำนักข่าวไทย ก็เคยได้ทำคลิปอธิบายข้อความซึ่งแชร์กันว่า “รางวัลโนเบลปีล่าสุด ค้นพบว่า การอดอาหาร จะทำให้เซลล์เกิดกระบวนการที่มีผลดีต่อสุขภาพ ลดการแก้เร็ว และป้องกันโรคได้” นี้ไว้แล้ว ว่าไม่ใช่เรื่องจริง ! และไม่ควรแชร์ต่อ (ดู https://youtu.be/qXW8W5P8bNY)
โดยทางรายการได้ไปสัมภาษณ์ ดร.ศิตา วีรกุล อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งอาจารย์ได้ระบุว่า
- รายงานวิจัยของศาสตราจารย์ญี่ปุ่นท่านนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอดอาหารในมนุษย์
- นักวิจัยได้ค้นพบกลไกการเกิด อย่างเป็นขั้นตอน ของกระบวนการ ออโต้ฟาจี้ autophagy
- ออโตฟาจี autophagy เป็นการผสมคำในภาษากรีก แปลว่า การกลืนกินตัวเอง ซึ่้งเกิดขึ้นในเซลล์ (หน่วยเล็กๆ ที่ประกอบรวมกันเป็นสิ่งมีชีวิต)
- กระบวนการออโตฟาจี้ เกิดขึ้นได้ในเซลล์ที่มีสภาวะเครียด เช่น ขาดอาหาร เซลล์ก็จะทำการย่อยส่วนประกอบภายในเซลล์ เช่น โปรตีน ไขมัน หรือส่วนประกอบต่างๆ ของเซลล์ เพื่อให้เซลล์ได้พลังงานกลับคืนมาใช้
- ออโตฟาจี้ เป็นศาสตร์ที่น่าสนใจและมีความเกี่ยวข้องกับโรคหลายโรคในมนุษย์ ในปัจจุบัน ก็มีการทดลองยาหลายชนิดเพื่อพยายามควบคุมสภาวะออโตฟาจี้ โดยเฉพาะในโรคมะเร็ง
- ผู้วิจัยได้ทำการตัดต่อพันธุกรรมของยีสต์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เพื่อ(เป็นโมเดล)ทำการศึกษากลไกการเกิดในร่างกายมนุษย์
- นักวิจัยได้จงใจทำให้เซลล์(ยีสต์)ขาดอาหาร เซลล์เลยเกิดภาวะออโตฟาจี้ขึ้น
- ดังนั้น ไม่สามารถสรุป(จากงานวิจัย)ได้ว่า การเกิดออโต้ฟาจี้มากในร่างกาย จะทำให้เกิดสภาวะหนุ่มสาวขึ้น
- ถ้าคนเราอดอาหารบ้าง เซลล์ในร่างกายของเราจะเอาของเสียมารีไซเคิ้ลแบบออโตฟาจี้นี้ด้วยหรือไม่ ?
- คำตอบคือ ภาวะที่เซลล์อดอาหาร กับที่ร่างกายอดอาหารนั้น มีความสลับซับซ้อนต่างกันมาก เพราะว่าเซลล์(ยีสต์)นั้นมีอยู่เซลล์เดียว แต่ร่างกายประกอบจากเซลล์หลายชนิด จึงไม่สามารถเปรียบเทียบระหว่างการอดอาหารของเซลล์กับการอดอาหารของมนุษย์ได้
- ถ้าออโตฟาจี้ เกิดในร่างกายของเราบ้าง จะเป็นผลดีหรือผลเสีย ?
- คำตอบคือ ยังตอบไม่ได้ เพราะทุกอย่างของร่างกายจะต้องมีภาวะสมดุลย์
- การมีออโตฟาจี้ มากหรือน้อยเกินไป ก็จะเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคบางอย่าง เช่น การเกิดออโตฟาจี้เยอะ ก็จะทำให้เกิดการเจริญได้ดีของเซลล์มะเร็ง แต่ในสภาะวะที่ออโตฟาจี้น้อย ก็จะเกี่ยวกับการเกิดโรคทางระบบประสาทได้
- แล้วที่มีงานวิจัยพบว่า ออโตฟาจี้ทำให้หนูทดลองมีอายุยืนยาวขึ้น ทำให้หลายคนมีความหวังขึ้น ?
- คำตอบคือ การวิจัยนี้ มีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้หนูทดลองมีสภาวะออโตฟาจี้สูง จนพบว่าเซลล์หรือร่างกายของหนูนั้นมีชีวิตยืนยาวขึ้น แต่กระบวนการนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปในร่างกายมนุษย์ (ที่อดอาหาร) ได้ ต้องย้ำว่าเป็นผลการวิจัยจากการตัดต่อพันธุกรรม ไม่ใช่การอดอาหาร
#สรุปจากรายการ คือ ยังไม่สามารถสรุปทางวิทยาศาสตร์ได้ว่าการเกิดออโตฟาจี้(สัมพันธ์กับ)และการอดอาหาร จึงไม่ควรแชร์ต่อ”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ศูนย์พิษฯ ตอบตำนานสงสัย “เบคกิ้งโซดา” เลือดด่าง-รักษามะเร็ง ดีกับสุขภาพจริงไหม?
- ข่าวดี ผลวิจัยใหม่ชี้ ออกกำลังกายบ่อยๆ ยืดอายุผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ เทียบเท่าคนปกติ
- อย่าชะล่าใจ สาววัย 20 ป่วยมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย เล่าอาการแรกเริ่ม ไม่อยู่ที่ “ท้อง”
อ้างอิงจาก : FB Jessada Denduangboripant