การเงินเศรษฐกิจ

ยื่นภาษีออนไลน์ 2567 ปี 68 ผ่าน D-MyTax ช่วงไหนดี

เปิดขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ 2568 ผ่านระบบ D-MyTax ยื่นช่วงไหนดีสุด ป้องกันการเสียสิทธิ์ลดหย่อนภาษี รวมขั้นตอนและวิธีการเตรียมเอกสาร เช็กรายการลดหย่อนภาษีเงินได้ 2567 ปี 68

เข้าสู่ช่วงต้นปี 2568 สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องเตรียมพร้อมคือการ ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ประจำปีภาษี 2567 ผ่าน ระบบ D-MyTax ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 8 เมษายน 2568 สำหรับการยื่นออนไลน์ และถึง 31 มีนาคม 2568 สำหรับการยื่นแบบกระดาษ หลายคนอาจสงสัยว่า ควรยื่นภาษีช่วงไหนดี? บทความนี้จะมาตอบคำถาม พร้อมแนะนำขั้นตอน เอกสารที่ต้องเตรียม และสิทธิ์ลดหย่อนต่างๆ เพื่อให้คุณยื่นภาษีได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่า

Advertisements

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการยื่นภาษี ไม่ควรยื่นช่วงต้นปี?

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการยื่นภาษีคือ หลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนมีนาคม

เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ข้อมูลจากสถาบันการเงินและนายจ้าง จะถูกอัปเดตเข้าสู่ระบบสรรพากรอย่างครบถ้วน ทำให้เรามีเวลาเพียงพอสำหรับตรวจสอบเอกสารและข้อมูล ก่อนยื่นภาษี

ลดความเสี่ยงของข้อผิดพลาด อีกทั้งยังไม่ต้องเผชิญกับปัญหาระบบล่มในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนหมดเขตอีกด้วย

แม้ว่าการยื่นภาษีตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจดูเหมือนสะดวก แต่การรีบยื่นเร็วเกินไป ก็อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ข้อมูลจากสถาบันการเงิน เช่น

กองทุน LTF, RMF และประกันชีวิต อาจยังไม่ครบถ้วน เนื่องจากสถาบันการเงินมีกำหนดส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรภายในวันที่ 15 มกราคม หากรีบยื่นก่อนที่ข้อมูลเหล่านี้จะถูกอัปเดต อาจทำให้เสียสิทธิ์ลดหย่อนภาษีบางรายการ

Advertisements

หากข้อมูลไม่สมบูรณ์ คุณอาจต้องยื่นแบบภาษีเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้เสียเวลาและยุ่งยากมากขึ้น

ยื่นภาษีออนไลน์ 2568

วิธีการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบ D-MyTax

ระบบ D-MyTax เป็นบริการยื่นภาษีออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายในการดำเนินการด้านภาษีของผู้เสียภาษี โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้:

1.ลงทะเบียน/เข้าสู่ระบบ

  • หากคุณยังไม่มีบัญชีผู้ใช้งาน ให้ทำการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
  • หากมีบัญชีแล้ว ให้เข้าสู่ระบบโดยใช้หมายเลขบัตรประชาชนหรือหมายเลขผู้เสียภาษีพร้อมรหัสผ่าน ที่ www.rd.go.th

2. ตรวจสอบข้อมูลภาษี

  • ระบบ D-MyTax จะดึงข้อมูลรายได้ ภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย และข้อมูลลดหย่อนที่กรมสรรพากรมีอยู่ เช่น ข้อมูลเงินบริจาค หรือค่าประกันสุขภาพ
  • ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล หากมีการเปลี่ยนแปลง สามารถแก้ไขหรือเพิ่มข้อมูลได้

3. กรอกแบบยื่นภาษี

  • เลือกรูปแบบการยื่น เช่น ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91
  • กรอกข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ค่าใช้จ่ายที่ขอลดหย่อนเพิ่มเติม

4. ตรวจสอบและยืนยัน

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทั้งหมด หากถูกต้อง ให้ยืนยันการยื่นแบบและบันทึกหมายเลขอ้างอิง

5. ชำระภาษีหรือขอคืนภาษี

  • หากมียอดภาษีค้างชำระ สามารถชำระผ่านระบบออนไลน์ เช่น Internet Banking หรือ e-Wallet ได้ทันที
  • หากขอคืนภาษี ให้กรอกข้อมูลบัญชีธนาคารสำหรับรับเงินคืน

การยื่นภาษีออนไลน 2568 เช้กสิทธิ์

สิ่งที่ควรรู้ก่อนยื่นภาษีผ่านระบบ D-MyTax

  1. เตรียมข้อมูลให้ครบถ้วน
  • เอกสารรายได้ เช่น ใบรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
  • เอกสารลดหย่อน เช่น ค่าเบี้ยประกันชีวิต ดอกเบี้ยบ้าน หรือเงินบริจาค

2. ตรวจสอบสิทธิ์ลดหย่อนภาษี ทบทวนสิทธิ์ในการลดหย่อนที่สามารถขอได้ เช่น บุตร คู่สมรส หรือการลงทุนในกองทุน RMF/SSF

3. เช็คยอดภาษีที่ชำระไว้ล่วงหน้า ตรวจสอบว่ามียอดภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย หรือยอดชำระไว้แล้ว เพื่อการคำนวณที่แม่นยำ

4. กำหนดเวลาในการยื่น ซึ่งตามปฏิทินภาษีสำหรับบุคคลธรรมดามักสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป หากยื่นล่าช้าอาจเสียค่าปรับ

5. ตรวจสอบบัญชีธนาคารสำหรับการคืนภาษีที่กรอกไว้ในระบบ เพื่อความรวดเร็วในการรับเงินคืน

ข้อดีของระบบ D-MyTax

ระบบ D-MyTax มอบความสะดวกและรวดเร็วให้กับผู้ใช้งาน โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สำนักงานสรรพากร สามารถทำรายการได้ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ระบบยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลอัตโนมัติ โดยดึงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น นายจ้างหรือธนาคาร ช่วยลดความยุ่งยากในการกรอกข้อมูลเอง

อีกทั้งยังช่วยลดข้อผิดพลาด ด้วยการแนะนำและคำนวณยอดภาษีให้อัตโนมัติ ลดโอกาสในการกรอกข้อมูลผิดพลาด ระบบยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัย โดยมีการยืนยันตัวตนและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ผู้ใช้งานยังสามารถติดตามสถานะการยื่นแบบและการขอคืนภาษีได้ง่ายดายผ่านระบบเดียว เพิ่มความสะดวกในการจัดการภาษีอย่างครบวงจร

วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 ผ่านระบบ D-MyTax ช่วงไหนดีสุด?

รายการลดหย่อนภาษีเงินได้ ปี 2567

สำหรับการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) ประจำปีภาษี 2567 ซึ่งจะต้องยื่นในปี 2568 มีรายการลดหย่อนภาษีหลากหลายประเภทที่สามารถใช้สิทธิ์ได้ ครอบคลุมทั้งสิทธิลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว การออมและการลงทุน ประกันชีวิตและสุขภาพ รวมถึงเงินบริจาคต่างๆ ที่ช่วยลดภาระภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งประเภทดังนี้

สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้ ประเภท ส่วนตัวและครอบครัว

  • ส่วนตัว 60,000 บาท
  • คู่สมรส (ไม่มีรายได้) 60,000 บาท
    บุตร คนละ 30,000 บาท (คนที่ 2 ขึ้นไป เกิดตั้งแต่ปี 61 คนละ 60,000 บาท)
  • ค่าคลอดบุตร ไม่เกินท้องละ 60,000 บาท
  • ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ คนละ 30,000 บาท
  • ค่าเลี้ยงดูผู้พิการ /ทุพพลภาพ 60,000 บาท

สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้ ประเภท ประกันชีวิตและการลงทุน

  • ประกันชีวิตทั่วไป/สะสมทรัพย์ ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ประกันสุขภาพตัวเอง ไม่เกิน 25,000 บาท
  • ประกันสุขภาพพ่อแม่ ไม่เกิน 15,000 บาท
  • ประกันชีวิตคู่สมรส (ไม่มีรายได้) ไม่เกิน 10,000 บาท
  • ประกันสังคม ไม่เกิน 9,000 บาท
  • เงินลงทุนวิสาหกิจเพื่อสังคม ไม่เกิน 100,000 บาท
  • กองทุน ThaiESG 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 300,000 บาท
  • กองทุน SSF 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 200,000 บาท
  • กองทุน RMF 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท
  • ประกันบำนาญ 15% ของเงินได้ ไม่เกิน 200,000 บาท
  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ไม่เกิน 30,000 บาท
  • กองทุน PVD 15% ของค่าจ้าง ไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนสงเคราะห์ครู ไม่เกิน 500,000 บาท
  • กบข. ไม่เกิน 500,000 บาท

สิทธิลดหย่อนภาษี ประเภท เงินบริจาค

  • กลุ่มการศึกษา/กีฬา/มูลนิธิด้านการแพทย์และสาธารณสุข 2 เท่าของเงินบริจาค (ตาม พ.ร.ฎ.771 พ.ศ.2566) ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน (สำหรับการบริจาคผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น)
  • บริจาคสถานพยาบาลของรัฐ 2 เท่าของเงินบริจาค ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
  • บริจาคทั่วไป ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
  • พรรคการเมือง ไม่เกิน 10,000 บาท

เมื่อพูดถึงการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สิ่งหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระ และอาจทำให้คุณได้รับเงินคืนก็คือ “ค่าลดหย่อน” นั่นเอง ซึ่งค่าลดหย่อนนี้จะนำไปหักออกจาก “เงินได้สุทธิ” ของเรา โดยเงินได้สุทธิคำนวณมาจาก “เงินได้” ทั้งปี หักลบด้วย “ค่าใช้จ่าย” ตามที่กฎหมายกำหนด และ “ค่าลดหย่อน” ต่าง ๆ ตามประกาศของกรมสรรพากร

พูดง่ายๆ ก็คือ รัฐบาลมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีนี้ให้ เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ หรือสนับสนุนนโยบายบางอย่าง เช่น ส่งเสริมการออม การลงทุน หรือการดูแลครอบครัว เป็นต้น

สมมติว่า นาย ก. มีรายได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน โบนัส ค่าคอมมิชชั่น ฯลฯ กฎหมายจะอนุญาตให้เขาหัก “ค่าใช้จ่าย” ออกได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของรายได้ เช่น ถ้าเป็นเงินเดือน กฎหมายให้หักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ้างอิง: กรมสรรพากร

New Nidhikant

จบการศึกษาคณะอักษรศาสตร์ เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร นักเขียนสายมูเตลู และนักอ่านไพ่ทาโรต์ โหราศาสตร์ มีความสนใจด้านข่าวการเมือง ศิลปะวัฒนธรรม แฟชั่น และสายดูดวงมูเตลู งานเขียนเน้นเนื้อหาที่เข้าใจง่าย อ่านสนุก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button