สาว 21 ปี ผวา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขู่เอี่ยวคดีดัง หลอกโอนเงิน 3 แสน ซ้ำใช้คัตเตอร์จี้คอ
สาว 21 ปี ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นตำตวจ ขู่พัวพันคดีฟอกเงิน หลอกโอนเงินมาตรวจสอบทั้งครอบครัว สูญเงิน 3 แสนบาท ซ้ำใช้คัตเตอร์จี้คอ หวังให้แม่ขายทองยายโอนเงินเพิ่ม
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 สภ.เมืองนนทบุรี ได้รับแจ้งเหตุกรณีของ น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี พร้อม นางเอ (นามสมมติ) วัย 49 ปี ผู้เป็นแม่และสามี หลังตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถูกมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นตำรวจ วิดีโอคอลสวมชุดเครื่องแบบ ข่มขู่ว่าน.ส.บีพัวพันคดีฟอกเงินของนายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช อดีตประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่ หลอกโอนเงินเกลี้ยงบัญชีพ่อแม่ สูญกว่า 3 แสนบาท
น.ส.บี เล่าว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2568 ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตนจึงวางสายเพราะคิดว่าเป็นมิจฉาชีพโทรมาหลอกโอนเงิน แต่มีโทรศัพท์อีกเบอร์โทรเข้ามา ปลายสายพูดเสียงแข็งว่า “สายหลุด หรือตัดสายทิ้ง” ด้วยความกลัวจึงตอบกลับไปว่าสายตัด ก่อนถูกมิจฉาชีพข่มขู่ว่าเธอพัวพันคดีฟอกเงินของนายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช และโอนสายให้ตำรวจยศใหญ่ช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้มีรายชื่อเป็นผู้ต้องหา
จากนั้น น.ส.บี วิดีโอคอลผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ โดยปลายสายเป็นผู้ชายแต่งการในชุดเครื่องแบบตำรวจ ด้านหลังมีหมวก และป้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมส่งรูปและเอกสารของนายสามารถมาให้ดู อ้างว่านายสามารถซัดทอดว่าน.ส.บีขายบัญชีธนาคารกรุงไทยซึ่งเปิดบัญชีที่จังหวัดสุพรรณบุรีให้ พร้อมกันนั้นยังสั่งให้เธอหันโทรศัพท์ไปรอบ ๆ ห้องเพื่อตรวจสอบว่ามีผู้อื่นอยู่ในห้องหรือไม่
ด้าน น.ส.บี ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยเปิดบัญชีที่ จ.สุพรรณบุรี และไม่รู้จักนายสามารถตามที่ปลายสายแจ้งมา ตัวเธอเองพยายามสังเกตว่านายตำรวจท่านนี้เป็นมิจฉาชีพหรือใช้ AI ในการสร้างภาพหรือไม่ เพราะปัจจุบัน AI สามารถสร้างภาพเหมือนได้จนในบางครั้งแยกไม่ออก ภาพนายตำรวจที่กำลังวิดีโอคอลกับเธอมีการขยับร่างกายและเสียงตรงกับที่ปากขยับ
จากนั้น มิจฉาชีพพยายามหว่านล้อมให้เธอโอนเงินเพื่อมาตรวจสอบ เธอตอบกลับไปว่ามีเงินในบัญชี 1,500 บาท และเงินสด 7,000 บาท ก่อนข่มขู่ให้โอนเงินพ่อแม่มาตรวจสอบด้วย ไม่เช่นนั้นพ่อแม่จะถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ น.ส.บี จึงขอยืมโทรศัพท์พ่อ เพื่อโอนเงินจำนวน 21,000 บาทเข้าบัญชีตนเอง แต่บัญชีพ่อถูกบล็อกโอนเงินออกจากบัญชีอีกไม่ได้ จากนั้นจึงได้ยืมโทรศัพท์แม่มาโอนเงิน 3 ครั้ง ครั้งละ 49,999 บาท และสแกนหน้าแม่อีก 1 ครั้ง จำนวน 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 249,997 บาท ก่อนโอนให้มิจฉาชีพทั้งหมด
แม่ของน.ส.บี เล่าว่า ลูกสาวมายืมโทรศัพท์อ้างจะถ่ายงาน จึงต้องใช้โทรศัพท์ 2 เครื่อง ลูกสาวจึงนำโทรศัพท์หายเข้าไปในห้อง ซึ่งคุณแม่ก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งข้อความในไอแพดเด้งเข้ามาว่าบัญชีธนาคาร มีเงินเข้ามา 30,000 บาท ตนเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร จากนั้นลูกสาวเดินข้ามาบอกว่าถูกลูกสาวยืมโทรศัพท์ไปเช่นเดียวกัน
จากนั้น เมื่อมีข้อความแจ้งว่า มียอดเงินจำนวน 100,000 บาท ถูกโอนออกจากบัญชี แม่จึงเดินเข้าไปเคาะห้อง พร้อมสอบถามว่าถูกคอลเซนเตอร์หรือเปล่า แต่ลูกไม่ตอบจึงแอบฟังที่หน้าประตู และได้ยินเสียงคนพูดกำกับให้ลูกทำตาม ต่อมาพอได้เข้ามาสอบถามว่ามีใครมาหลอกหรือไม่ ด้านลูกสาวตอบเพียงว่า เดี๋ยวจะบอกทุกอย่าง และหลังเที่ยงคืนเงินจะคืน
ต่อมา วันที่ 8 มกราคม 2568 ลูกสาวโทรศัพท์มาขอให้คุณแม่ขายทองของยายและโอนเงินเข้าบัญชีให้ คุณแม่จึงรู้ทันทีว่าลูกสาวหนีออกจากบ้าน จึงบอกลูกถามลูกกลับไปว่าอยู่ที่ไหนจะนำทองไปให้ถึงที่ แต่ลูกสาวไม่ตอบ อีกทั้งยังส่งคลิปขณะถือมีดคัตเตอร์จี้คอ พร้อมขู่ให้โอนเงิน ด้านแม่ใจเสียและเป็นห่วงมาก เพราะลูกมีภาวะซึมเศร้า จึงได้ปรึกษากับทางตำรวจร้อยเวร
ตำรวจร้อยเวรแนะนำว่าอย่าโอนเงินให้ เพราะหากลูกสาวไม่มีเงินก็จะกลับมาหาเอง สุดท้ายลูกสาวยอมบอกว่า ตนเปิดห้องพัก โรงแรมย่านถนนราชพฤกษ์ จึงรีบไปรับและพาเข้าแจ้งความที่สภ.เมืองนนทบุรี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- มูลนิธิกระจกเงา เล่าย้อนเคสบีบหัวใจ เด็ก 15 ถูกพาเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์
- ทักษิณเคยแฉ ตึก 25 ชั้นปอยเปต แหล่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เดียวคนไทยตกตึก
- ซิงซิง เล่าละเอียด ถูกหลอกว่าเป็นงานแสดง แต่เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์