แจกคัมภีร์ “อาหารดี” คู่มือกินดี ตายช้า ปีใหม่เริ่มต้นสุขภาพแข็งแรง
เริ่มต้นศักราชใหม่ 2025 ทั้งที่ ชีวิตจะดีได้ส่วนหนึ่งอาหารที่กินเข้าไปสำคัญมาก การกินดี จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรค ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลาไปหาหมอ
งานวิจัย รวมถึงคำแนะนำจากหมอหลายท่าน บอกว่า อาหารที่กินแล้วมีประโยชน์ ให้เลี่ยงอาหารแปรรูป ปรุงแต่งน้อย ลดน้ำตาล ตัดไปได้เลยยิ่งดี เพราะทำให้ร่างกายอักเสบ แป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต กินน้อยลงได้ แต่ไม่ควรตัดเลย เพราะมีแร่ธาตุ สารอาหารบางอย่างที่โปรตีน ไขมันไม่มี
อาหารแปรรูป (Processed Food) คือ อาหารที่ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากสภาพดิบหรือสภาพดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปรุง การบด การผ่านความร้อน การเติมสารปรุงแต่งหรือวัตถุเจือปนต่าง ๆ เพื่อจุดประสงค์หลายอย่าง เช่น ไส้กรอก แฮม อาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง ใส่วัตถุกันเสีย ขนมกรุบกรอบ
อาหารแปรรูป มักมีการเติมเกลือ น้ำตาล ไขมัน หรือสารปรุงแต่ง เพื่อยืดอายุและเพิ่มรสชาติ ซึ่งหากบริโภคในปริมาณมากหรือบ่อย ๆ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเรื้อรังอื่น ๆ
ลด ตัดน้ำตาล สารให้ความหวาน
การเติมน้ำตาลหรือน้ำตาลเทียมในเครื่องดื่มหรืออาหารบ่อย ๆ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานสะสมเกินความจำเป็น และอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่
หากค่อย ๆ ฝึกตัด ลด หรือเปลี่ยนไปใช้ความหวานจากธรรมชาติ เช่น น้ำผึ้ง (ในปริมาณพอเหมาะ) หรือเลือกทานผลไม้หวานน้อยแทน จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น
แนะนำกิน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และกากใยอาหาร
คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbohydrates) คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก เช่น น้ำตาลซูโครส (น้ำตาลทราย), ฟรุกโตส (น้ำตาลผลไม้), แลคโตส (น้ำตาลนม) ร่างกายย่อยได้รวดเร็ว จึงดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ไว ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วตามไปด้วย อีกทั้ง แป้งแบบนี้มักผ่านการขัดสีหรือเป็นน้ำตาลที่ไม่มีสารอาหารหรือกากใยติดมามากนัก (เช่น ขนมเค้ก ขนมหวาน น้ำอัดลม) จึงได้แค่พลังงานแต่ขาดวิตามินและแร่ธาตุ
ขณะที่คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrates) มีสายโมเลกุลยาวกว่า เช่น แป้งที่อยู่ในข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชเต็มเมล็ด ผัก ถั่วเมล็ดแห้ง ร่างกายจึงต้องใช้เวลาย่อยและดูดซึมนานกว่า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อย ๆ ขยับขึ้นแบบไม่พุ่งเร็ว
ดังนั้นเลือกกินคาร์บเชิงซ้อนดีกว่า โดยทั่วไป สถาบันโภชนาการและองค์การสุขภาพหลายแห่งแนะนำว่า คาร์โบไฮเดรตควรอยู่ที่ประมาณ 45–65% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน หรือขึ้นอยู่กับกิจกรรมและเป้าหมายสุขภาพของแต่ละคน
คาร์บโบไฮเดรตที่ควรกินในแง่สุขภาพดีต่อร่างกาย
- ธัญพืชเต็มเมล็ด (Whole Grains) เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย ควินัว
- พืชตระกูลถั่ว (Beans, Lentils, Chickpeas)
- ผักราก เช่น มันเทศ เผือก
- ผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง
กากใยอาหาร หรือเส้นใยอาหาร คือ ส่วนประกอบของพืชที่ร่างกายมนุษย์ย่อยไม่ได้ แต่มีประโยชน์อย่างมาก เช่น
ช่วยทำให้อิ่มนาน เพราะจะดูดซับน้ำและเพิ่มมวลอาหารในทางเดินอาหาร ลดอาการหิวโหยระหว่างมื้อ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพราะทำให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลช้าลง ป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ลดโอกาสท้องผูก และส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะช่วยจับไขมันและคอเลสเตอรอลในระบบทางเดินอาหาร
เคล็ดลับการเพิ่มกากใยในชีวิตประจำวัน เริ่มต้นมื้อเช้าด้วยธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต เลือกข้าวกล้องหรือข้าวไม่ขัดสีแทนข้าวขาว เพิ่มถั่วหรือเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ (เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว เมล็ดเจีย งา) ลงไปในสลัด ซุป หรืออาหารจานหลัก เน้นผักใบเขียว ผลไม้สดทั้งลูก (แทนการคั้นน้ำ) เพื่อรักษากากใย
ระวังการบริโภคไฟเบอร์มากเกินไป! แม้ว่ากากใยจะมีประโยชน์ แต่การเพิ่มปริมาณใยอาหารมากเกินไปในระยะเวลาสั้น ๆ (แบบหักดิบ) อาจทำให้มีอาการท้องอืดหรืออึดอัดท้องได้ ควรเพิ่มปริมาณใยอาหารอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมดื่มน้ำให้เพียงพอ
มื้อเช้า ควรเริ่มต้นด้วยโปรตีนและไขมันดี
โปรตีน สารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกายในการซ่อมแซมส่วนที่ซึกหรอ หากมีกล้ามเนื้อในร่างกายน้อยจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหว แรงในการใช้ชีวิตประจำวัน
คนทั่วไป ควรได้รับโปรตีนประมาณ 0.8 – 1.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน เช่น คนหนัก 60 กิโลกรัม ควรได้โปรตีนประมาณ 48-72 กรัมต่อวัน)
สำหรับ ผู้ที่ออกกำลังกายหนัก หรือ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ อาจต้องการโปรตีนมากขึ้น ประมาณ 1.2 – 1.7 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
หากมีโรคประจำตัว (เช่น โรคไต) ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนปรับเพิ่มโปรตีน
การเลือกเสริมโปรตีนในมื้ออาหารเช้า จะช่วยให้ร่างกายรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เพราะหากเริ่มวันด้วยคาร์โบไฮเดรตขัดสี เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว หรือขนมหวาน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว และตกลงมาเร็วเช่นกัน ส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยล้า หิวบ่อย และโหยหวานตลอดวัน
แต่ถ้าเราเริ่มต้นมื้อเช้าด้วยโปรตีน และไขมันที่ดี (Healthy Fats) เช่น ไข่ อกไก่ ปลา เต้าหู้ พร้อมผักหรือธัญพืชเต็มเมล็ด จะทำให้น้ำตาลในเลือดค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ร่างกายจึงมีพลังงานอย่างสม่ำเสมอ ไม่หิวโหย
นอกจากนี้ จะทำให้อิ่มท้องนานขึ้น เพราะโปรตีนและไขมันย่อยได้ช้ากว่าแป้ง จึงรู้สึกอิ่มยาวนาน ช่วยป้องกันการรับประทานอาหารจุบจิบระหว่างมื้อ ลดโอกาสได้รับพลังงานเกินในมื้อต่อ ๆ ไป
ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและฟื้นฟูร่างกาย หลังผ่านช่วงกลางคืนที่ร่างกายอาจไม่ได้รับอาหารหลายชั่วโมงการเติมโปรตีนดี ๆ เข้าไป จะช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้รวดเร็ว รวมถึงสร้างสมดุลของฮอร์โมนและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
โปรตีนจากอาหารธรรมชาติ แบ่งออกได้ 2 กลุ่มหลัก ๆ
1. โปรตีนจากสัตว์ (Animal-based Proteins)
- เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น อกไก่ เนื้อวัวส่วนไขมันน้อย หมูสันใน
- ปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน) ซึ่งยังให้ไขมันดี (โอเมก้า-3) บำรุงสมองและลดการอักเสบในร่างกาย
- ไข่ โดยเฉพาะไข่ขาว อุดมด้วยโปรตีนคุณภาพดี ส่วนไข่แดงมีวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ แต่ควรบริโภคในปริมาณพอเหมาะ
- นมและผลิตภัณฑ์จากนม (นมสด โยเกิร์ต ชีส) สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาแพ้นม
2. โปรตีนจากพืช (Plant-based Proteins)
- ถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ลูกเดือย ฯลฯ
- เมล็ดธัญพืช เช่น ควินัว เมล็ดเจีย
- เต้าหู้ หรือ เทมเป้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ซึ่งมีโปรตีนสูงและย่อยง่าย
- ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ต แม้ปริมาณโปรตีนไม่สูงเท่าถั่ว แต่ช่วยเติมเต็มโปรตีนและยังมีใยอาหารดีต่อระบบขับถ่าย
ข้อดีของการเลือกโปรตีนจากพืช คือ ได้รับกากใยอาหาร ไขมันดี และสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ส่วนโปรตีนจากสัตว์ ก็มีกรดอะมิโนที่ครบถ้วนและย่อยง่ายเช่นกัน ทางที่ดีคือสลับทานให้หลากหลาย เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
เมนูอาหารเช้าง่าย ๆ ในการเพิ่มโปรตีน
- ไข่ต้ม/ไข่คนคู่ผัก: แหล่งโปรตีนคุณภาพดี และเพิ่มวิตามินจากผักต่าง ๆ
- ข้าวโอ๊ตผสมโปรตีน: ต้มข้าวโอ๊ตใส่นมถั่วเหลือง เติมถั่วหรือเมล็ดแฟลกซ์/เมล็ดเจีย เพิ่มโปรตีนและใยอาหาร
- สมูทตี้โปรตีน: ปั่นโยเกิร์ตหรือนมโปรตีนสูงกับผลไม้ (เช่น เบอร์รี่/กล้วย) และอาจใส่ผักโขมหรือเมล็ดเจียเพิ่ม ก็เป็นอีกวิธีที่ให้โปรตีนและใยอาหารได้ในแก้วเดียว
- ปลา/อกไก่ย่าง: หากต้องการกินแบบอาหารคาวในมื้อเช้า เลือกเนื้อปลา/อกไก่ย่างง่าย ๆ คู่กับขนมปังโฮลวีต หรือผักสลัด ก็เพิ่มโปรตีนและไขมันดีได้
กินไขมันแล้วทำให้อ้วนจริงหรือ?
ตอบแบบเร็วๆ สุดคือ ไม่เสมอไป เราจะอ้วนขึ้นหรือน้ำหนักเพิ่ม ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับ “ปริมาณแคลอรีรวม” ที่ได้รับในแต่ละวัน เมื่อเทียบกับการเผาผลาญของร่างกาย (Energy Balance) มากกว่าประเภทของสารอาหารเพียงอย่างเดียว แต่การเลือกชนิดของไขมันก็สำคัญมากเช่นกัน
ในอดีตมีแนวคิดว่า “ไขมันให้พลังงานสูง” (1 กรัมของไขมันให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี เทียบกับโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่ให้ 4 กิโลแคลอรี/กรัม) หากรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเกินกว่าที่ร่างกายเผาผลาญได้ ร่างกายก็จะเก็บไขมันสะสมไว้ จึงทำให้มีน้ำหนักเพิ่มและอ้วนขึ้นได้
บางคนคุมอาหารโดยเน้น “Low-Fat” (ไขมันต่ำ) แต่กลับบริโภคคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลมากจนเกินไป พลังงานรวมต่อวันก็มากกว่าใช้ไป สุดท้ายก็อ้วนได้เช่นกัน
ไขมันไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป แบ่งออกได้ 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ
1. ไขมันดี มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น โอเมก้า-3, โอเมก้า-6, โอเมก้า-9 พบได้ใน ปลา (ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน ฯลฯ), ถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอนด์ วอลนัท), น้ำมันมะกอก, อะโวคาโด ช่วยลดไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ในเลือด มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
2. ไขมันเลว (Saturated Fats/Trans Fats) พบมากใน เนื้อสัตว์ติดมัน, นมเนยไขมันเต็ม, เนยเทียม, อาหารทอดซ้ำ, เบเกอรี ที่มีส่วนผสมมาการีนหรือชอร์ตเทนนิ่ง หากบริโภคมากเกินไป อาจเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
แม้ว่าไขมันดียังให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรีต่อกรัมเหมือนไขมันเลว แต่เมื่อเลือกกิน “ไขมันที่ดี” ก็จะได้ประโยชน์ในเชิงสุขภาพมากกว่า เช่น ลดการอักเสบของร่างกาย บำรุงสมองและหัวใจ เป็นต้น
ดังนั้นควรเลือกกินไขมันดี เลี่ยงกินไขมันเลว
ส่วนที่เป็นตัวร้ายชัวร์ๆ คือ ไขมันทรานส์ (Trans Fats) พบในมาการีน เนยเทียม อาหารทอดซ้ำ หรือเบเกอรีที่ใช้ชอร์ตเทนนิ่ง ฯลฯ ควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด เพราะเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างชัดเจน
ไขมัน กินอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพและไม่อ้วน
เน้นไขมันดี เลือกแหล่งไขมันไม่อิ่มตัวจากอาหารธรรมชาติ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน ถั่วเปลือกแข็ง อัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ อะโวคาโด น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา (ใช้ปรุงอาหารที่ไม่ต้องใช้ความร้อนสูง) เลี่ยงอาหารทอด ไขมันหมูติดมัน เนื้อแดงติดมัน เนยแข็งมาก ๆ ขนมอบที่ใช้เนยเทียม ฯลฯ
แม้จะเป็นไขมันดี แต่ก็ให้แคลอรีสูง ควรกะสัดส่วนให้สมดุลกับโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต
สถาบันโภชนาการและแนวทางการบริโภคอาหาร (เช่น USDA Dietary Guidelines, WHO) แนะนำให้ ไขมัน อยู่ในช่วงประมาณ 20–35% ของปริมาณแคลอรีทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน ซึ่งแต่ละคนจะมีปริมาณที่แตกต่างกันไปตามอายุ เพศ น้ำหนักเป้าหมาย กิจกรรมทางกาย และสุขภาพโดยรวม
ตัวอย่างสูตรคำนวณไขมันต่อวัน
หากคุณต้องการ 2,000 กิโลแคลอรี ต่อวัน และตั้งใจให้ 30% ของแคลอรีมาจากไขมัน
- 30% ของ 2,000 = 600 กิโลแคลอรี
- 1 กรัมไขมันให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี
- ดังนั้น 600 ÷ 9 ≈ 67 กรัม ของไขมันต่อวัน
ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้ไขมันอยู่ในช่วง 20–35% ของแคลอรีทั้งหมด พื้นที่ของไขมันที่ควรกินก็จะประมาณ 44–78 กรัม (หากอิงพลังงาน 2,000 kcal/วัน)
IF งดกินให้เป็น สร้างประโยชน์มากกว่าโทษ
เมื่อเรากินอาหาร ร่างกายจะหลั่งอินซูลิน (Insulin) เพื่อจัดการกับน้ำตาลในเลือด (กลูโคส) และจะนำบางส่วนไปเก็บเป็นไขมันสะสมเพื่อใช้เป็นพลังงานในอนาคต หากยังคงได้รับอาหารอย่างต่อเนื่อง ร่างกายมักไม่จำเป็นต้องไปดึงไขมันที่เก็บไว้ออกมาใช้ เพราะมีแหล่งพลังงานใหม่มาเติมตลอดเวลา
แต่เมื่อ มีช่วงอดอาหาร ติดต่อกันหลายชั่วโมง (เช่น 14 หรือ 16 ชั่วโมง)
- ระดับอินซูลินจะลดต่ำลง ทำให้ร่างกาย เข้าถึงไขมันสะสม และเผาผลาญเป็นพลังงานได้มากขึ้น
- ช่วงที่ร่างกายเผาผลาญไขมันสะสมนี้ ทำให้มีแนวโน้มควบคุมน้ำหนักหรือลดไขมันส่วนเกินได้ง่ายขึ้น
ประโยชน์ของ IF
1. ปรับระดับอินซูลินและการเผาผลาญ เมื่อระดับอินซูลินต่ำ ร่างกายจะย่อยสลายไขมันสะสมมาใช้เป็นพลังงานได้ดียิ่งขึ้น
ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดความเสี่ยงของอาการ “น้ำตาลตก” ที่ทำให้เหนื่อยล้าและโหยของหวานระหว่างวัน
2. กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ (Autophagy) เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหารใหม่เป็นระยะเวลาหนึ่ง เซลล์จะทำกระบวนการ “Autophagy” (ออโตฟาจี) เพื่อกำจัดเศษเซลล์หรือโปรตีนที่เสื่อมสภาพ รวมถึงขยะภายในเซลล์ กระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่และซ่อมแซมเซลล์เก่าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. รักษาน้ำหนักและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง IF ช่วยควบคุมปริมาณแคลอรีในระยะยาวได้ง่ายขึ้น (เพราะมีช่วง “งดอาหาร” ชัดเจน)
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า IF อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรค เบาหวาน โรคอ้วน และโรคหัวใจ เนื่องจากเป็นการดูแลระดับน้ำตาลในเลือดและระดับไขมันอย่างเป็นระบบ
บางรายอาจรู้สึกว่าการควบคุมแคลอรีเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้อง “นับแคลอรีทุกคำ” เพียงแต่จัดช่วงเวลาให้เป็นไปตาม IF
แต่ล่าสุดมีงานวิจัยออกมาว่า คนทำ IF มีโอกาสผมร่วงมากกว่าคนปกติ ส่วนหนึ่งสาเหตุมาจากการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้น การกินทุกครั้ง ต้องแน่ใจว่าเมนูอาหารที่เรากิน มีสารอาหารครบถ้วนทุกหมู่ที่ร่างกายต้องการ
IF กับ อดอาหาร ไม่เหมือนกัน
วิธีเริ่มต้น IF แบบง่ายๆ คนไม่เคยทำมาก่อน
1. เลือกตารางเวลาที่สะดวก
เวลาไม่มีสูตรตายตัว หากทำงานเช้าหรือมีภารกิจตอนเช้า อาจเลือก “กิน 8 งด 16” โดยขยับมาเริ่มกินตอนสายหน่อย (เช่น 10:00 น.) และจบการกิน 18:00 น.
2. เพิ่มช่วงงดอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เริ่มจาก “กิน 10 ชม. งด 14 ชม.” ก่อน เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ดี แล้วค่อยขยับเป็น 16/8 หากต้องการผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น
3. เลือกอาหารที่มีประโยชน์ในช่วงกิน
การทำ IF ไม่ได้หมายความว่าช่วงกินจะกินอะไรก็ได้ไม่จำกัด หรือกินอาหารในปริมาณน้อย ควรยังคงเน้นอาหารมีประโยชน์ เช่น โปรตีนดี (ปลา ไข่ เต้าหู้ ถั่ว) คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (ข้าวกล้อง โฮลวีต) ไขมันดี (อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถั่วเปลือกแข็ง) ผักและผลไม้เพื่อให้ได้วิตามินและกากใย
3. ดื่มน้ำเพียงพอ
ในช่วงงดอาหาร ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ หรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี เช่น ชาสมุนไพรไม่ใส่น้ำตาล หรือกาแฟดำ (ไม่มีน้ำตาลและครีม) เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
4. ไม่ไหวอย่าฝืน
หากรู้สึกปวดหัว หน้ามืด อ่อนเพลียหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรับตาราง IF หรือหยุดพัก เพื่อความปลอดภัย
งดความเครียด
รู้ว่าทำได้ยาก เพราะชีวิตทั้งเรื่องงาน ครอบครัว สุขภาพ การเงิน เป็นปัจจัยเลี่ยงไม่ได้ให้คนเราเกิดความเครียด เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งคอร์ติซอลเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด (กลูโคส) ให้ร่างกายมีพลังงานพร้อมใช้ทันที
หากคอร์ติซอลสูงอยู่ตลอดเวลา (ความเครียดเรื้อรัง) จะรบกวนการเผาผลาญพลังงาน และกระตุ้นความอยากอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง มีส่วนทำให้ไขมันสะสมมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง
นอกจากนี้ยังหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น หลอดเลือดขยายตัว เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน หากเกิดบ่อย ๆ หรือยาวนานเกินไป อาจนำไปสู่ปัญหาความดันโลหิตสูง และความเสื่อมของระบบหัวใจและหลอดเลือดได้
ร่างกายเมื่อเครียดบ่อยๆ จนกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง จะทำทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรคและการอักเสบได้น้อยลง เสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย และภูมิต้านทานโรคลดลง คอร์ติซอลและความเครียดจะส่งผลต่อการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร และการบีบตัวของลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสียเรื้อรัง บางคนอาจเกิดอาการแสบร้อนกลางอก (Gastric reflux) เนื่องจากกรดไหลย้อน
ความเครียดทำให้สมองส่วนอะมิกดาลา (Amygdala) ตื่นตัวมากเกินไป ส่งผลให้มีความวิตกกังวลสูง ความจำหรือสมาธิลดลง
รบกวนการนอนหลับ ทำให้พักผ่อนน้อยยิ่งขึ้น
ส่วนท่านชายคงไม่อยากเป็นแน่ๆ ความเครียดเรื้อรังอาจรบกวนฮอร์โมนเพศ เช่น เอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติในผู้หญิง และกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย อวัยวะเพศไม่แข็งตัว เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในที่สุด
แม้ความเครียดจะควบคุมได้ยาก แต่ฝึกได้ ตามหลักศาสนาพุทธ ให้ลองนั่งสมาธิ เริ่มต้นวันละ 5 นาที ยู่กับลมหายใจ ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย มีสติ และลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล
ละวางเรื่องอดีตและไม่กังวลอนาคตเกินไป ตั้งเป้าหมาย แก้ไขปัญหาเท่าที่ทำได้ และยอมรับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มสารเอ็นโดรฟิน (Endorphins) ทำให้รู้สึกสดชื่นและอารมณ์ดีขึ้น ลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียด ต้องทำคู่กับนอนหลับประมาณ 6–8 ชั่วโมง เพื่อฟื้นฟูร่างกายและปรับสมดุลฮอร์โมน
จัดการเวลาพัก-เวลางานให้สมดุล
รู้จักให้รางวัลตัวเอง พักผ่อน ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ และลดภาระงานที่เกินกำลัง หากความเครียดรุนแรง หรือตัวเองรับมือไม่ไหว ควรปรึกษาแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักจิตบำบัด
“ถ้าเรารู้จักสังเกตสัญญาณความเครียดอย่างทันท่วงที และปรับสมดุลชีวิตทั้งกายและใจให้ลงตัว ก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนยาวได้อย่างเป็นสุข”
ถ้าเรากินดี สุขภาพจิตดี สุขภาพร่างกายก็จะดี เท่านี้ก็จะตายช้า โรคไม่ถามหา