อัจฉริยะ บุกจี้คดีเก่า ทนายตั้ม เรียกเงินขายฝันผู้ต้องหายาเสพติดแลกลดโทษ
อัจฉริยะ บุกยื่นหนังสือจี้คดีเก่า ทนายตั้ม เรียกเงินขายฝันผู้ต้องหายาเสพติดแลกลดโทษ เผยยื่นมาตั้งแต่ปี 62 แต่เรื่องเงียบ ขู่เอาผิดอธิบดี
นาย อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหนังสือต่อ สำนักงานอัยการทุจริตภาค7 จังหวัดสมุทรสาคร ขอให้ช่วยเร่งรัดคดีของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิดกับพวก ตกเป็นผู้ต้องหา คดีหลอกนักโทษคดียาเสพติดว่าสามารถลดโทษได้ โดยตำรวจภาค 7 สั่งฟ้องตั้งแต่ปี 2563 ผ่านมาแล้วเกือบ 4 ปี อัยการยังไม่สั่งคดีแต่อย่างใด ซึ่งครั้งนี้ยื่นเป็นครั้งที่ 3 หากยังไม่ดำเนินการจะร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ ป.ป.ช. กับทุกอธิบดีที่ผ่านมา
นาย อัจฉริยะ กล่าวว่า คดีนี้ตนได้มีการยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษตั้งแต่ปี 2562 คดีที่ทนายตั้มร่วมกับพวก รวมทั้งตำรวจจำนวน 3 นาย หลอกลวงนายออย ผู้ต้องหาคดียาเสพติดว่าสามารถวิ่งเต้นช่วยเหลือทางคดี เพื่อให้ลดโทษได้ครึ่งหนึ่ง ทำให้นายออยหลงเชื่อ และมอบเงิน 400,000 บาทให้กับทนายตั้ม
ต่อมาชุดคณะพนักงานสอบสวนของกองบังคับการตำรวจภูธรภาค 7 ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความจริง พบว่าเป็นเรื่องจริง โดยมีการทำบันทึกจับกลุ่มอันเป็นเท็จ และตัวผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ก็ให้การยอมรับว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการขยายผลการบันทึกจับกุม พบว่ามีนายตำรวจ 3 นายร่วมกันทำบันทึกจับกุมขึ้นมา ต่อมาได้มีการขออนุมัติศาลจังหวัดสมุทรสาครออกหมายจับทนายตั้มกับพวกในข้อหาใช้เอกสารราชการอันเป็นเท็จ ในการนำสืบเท็จ และพยานหลักฐานเท็จ หลังจากนั้นก็มีการส่งเรื่องไป ป.ป.ช. จากนั้นก็มีความเห็นส่งกลับมาทางตำรวจภูธรภาค 7ดำเนินการสืบสวนสอบสวน และดำเนินคดีต่อ พร้อมไล่ตำรวจทั้ง 3 นายออกมาจากราชการ
ซึ่งจากการสืบสวนสอบสวนก็มีการสรุปสำนวนความเห็นสั่งฟ้องไปยังสำนักงานอัยการทุจริตภาค 7 ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งอ้างว่าพนักงานอัยการนำสำนวนดังกล่าวไปซ่อน โดยไม่มีการพิจารณา หรือให้ความเห็นทางสำนวนแต่อย่างใด ซึ่งตนคาดว่าสำนักงานอัยการทุจริตภาค 7 มีการช่วยเหลือในคดีนี้ เนื่องจากว่าตามกฎระเบียบของตำรวจ ถ้าครบ 2 ปีแล้วยังไม่มีการดำเนินคดีก็จะทำให้ตำรวจพวกนี้สามารถกลับเข้ารับราชการตำรวจได้เหมือนเดิม ทั้งที่คดีนี้มีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน มีการสอบพยานอย่างแน่นหนา ซึ่งตนคิดว่าหลักฐานที่มีตอนนี้เพียงพอต่อคณะพนักงานอัยการทุจริตภาค 7 แล้ว ที่ผ่านมาตนมายื่นเรื่องร้องเรียน เพื่อเร่งลัดเรื่องดังกล่าว 2 ครั้ง และร้องต่ออัยการสูงสุด 2 ครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้รับความสนใจ และยังเอาไปซ่อนไว้เหมือนเดิม
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่มาร้องต่ออธิบดีอัยการทุจริตภาค 7 หากไม่ดำเนินการตามหน้าที่ ตนจะฟ้องตั้งแต่อธิบดีปี 2563 จนถึงปัจจุบัน เพราะเจ้าของสำนวนมีการส่งซิกให้ไปฟ้องตนที่ศาลจังหวัดสมุทรสาครด้วย ในข้อหาแจ้งความเท็จ ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องถึงที่สุดแล้ว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง