ประวัติ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47
ประวัติ “โดนัลด์ ทรัมป์” ย้อนชีวิตครอบครัวมหาเศรษฐี อาณาจักรธุรกิจแบรนด์ทรัมป์ ก่อนก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองท่ามกลางดราม่า กระทั่งล่าสุด ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47
โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์แห่งนิวยอร์ก กลายเป็นบุคคลที่โลดแล่นจากแวดวงธุรกิจสู่เวทีการเมืองระดับชาติ โดยเขาสั่งสมชื่อเสียงในฐานะ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในหนังสือพิมพ์และสื่อโทรทัศน์มาตลอดหลายทศวรรษ ก่อนจะประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016
การหาเสียงที่โดดเด่นและท่าทีตรงไปตรงมาช่วยให้เขาเอาชนะนักการเมืองผู้มีประสบการณ์จนได้เป็น ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของประเทศ แม้จะมีข้อขัดแย้งและถูกพยายามถอดถอนออกจากตำแหน่งภายหลังทำงานได้เพียงสมัยเดียว ทรัมป์ยังคงมุ่งมั่นและ หวนคืนสู่สนามการเมืองอีกครั้งในวัย 78 ปี โดยมีเป้าหมายที่อาจนำเขากลับสู่ตำแหน่งในทำเนียบขาว
ประวัติโดนัลด์ ทรัมป์ ชีวิตช่วงต้นก่อนเริ่มสู่การเมือง
โดนัลด์ ทรัมป์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1946 ที่ควีนส์ รัฐนิวยอร์ก เขาเป็นบุตรคนที่สี่ในครอบครัวของเฟรด และแมรี แอนน์ ทรัมป์ โดยมีพี่น้องรวมทั้งหมดห้าคน
ครอบครัวทรัมป์เป็นชาวอพยพจากยุโรป โดยพ่อของเขามีเชื้อสายเยอรมันและแม่มีเชื้อสายสก็อตแลนด์ การเติบโตในครอบครัวที่มีอิทธิพลในวงการอสังหาริมทรัพย์นิวยอร์กทำให้ทรัมป์ได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย
บิดาของทรัมป์เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จ แม้ครอบครัวจะมีฐานะดี แต่เฟรด ทรัมป์ส่งลูกชายคนที่สี่ไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตั้งแต่อายุ 13 ปี เพื่อฝึกวินัยและปรับปรุงพฤติกรรม
หลังจากนั้นทรัมป์เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดัม และย้ายไปศึกษาที่วิทยาลัยธุรกิจวอร์ตันของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสอนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ. 1968
เมื่อสำเร็จการศึกษา ทรัมป์เข้าร่วมงานในบริษัทของครอบครัว “Elizabeth Trump & Son” โดยเขาได้รับเงินกู้ 1 ล้านดอลลาร์จากพ่อเพื่อเริ่มต้นในวงการอสังหาริมทรัพย์
เขามีบทบาทสำคัญในการบริหารโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ในนิวยอร์ก และต่อมาได้ขยายธุรกิจของครอบครัวสู่โครงการหรูในแมนฮัตตัน พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “ทรัมป์ ออร์กาไนเซชัน” ในปี 1971
ทรัมป์ยังได้รับอิทธิพลจากพี่ชาย เฟรด จูเนียร์ ซึ่งเสียชีวิตจากโรคพิษสุราเรื้อรังในวัยเพียง 43 ปี ทรัมป์กล่าวว่าการสูญเสียครั้งนี้ทำให้เขาตัดสินใจไม่ดื่มสุราและสูบบุหรี่ตลอดชีวิต และได้ถือบิดาของเขาเป็น “แรงบันดาลใจ” ที่สำคัญในทุกการทำงาน
อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ สื่อบันเทิงและแบรนด์ “ทรัมป์”
โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มต้นธุรกิจจากการสืบทอดอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวที่สร้างที่พักในบรูคลินและควีนส์ ก่อนจะขยายไปสู่โครงการหรูหราในแมนฮัตตัน เช่น ทรัมป์ทาวเวอร์ (Trump Tower) บนถนนฟิฟธ์อเวนิวที่โด่งดัง ซึ่งเป็นทั้งบ้านพักและทรัพย์สินเลื่องชื่อของเขา
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังบูรณะโรงแรมคอมโมดอร์ให้กลายเป็นโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท (Grand Hyatt) พร้อมขยายแบรนด์ทรัมป์ไปสู่อสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ เช่น กาสิโน คอนโดมิเนียม สนามกอล์ฟ และโรงแรมในหลายประเทศทั่วโลก
นอกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทรัมป์ยังขยายตัวเข้าสู่วงการบันเทิง เขาเคยเป็นเจ้าของเวทีประกวดนางงามจักรวาล (Miss Universe), นางงามสหรัฐฯ (Miss USA) และมิสทีนยูเอสเอ (Miss Teen USA)
รวมถึงดำเนินรายการเรียลลิตี้โชว์ยอดนิยม “ดิ แอพเพรนทริซ” (The Apprentice) ทางช่อง NBC ตลอด 14 ฤดูกาล ด้วยประโยคเด็ดอย่าง “You’re fired!” ที่กลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นทำให้ชื่อของทรัมป์เป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนทั่วโลก
แม้ว่าทรัมป์จะเป็นนักธุรกิจและนักเขียนที่มีชื่อเสียง มีการเขียนหนังสือหลายเล่มและลงทุนในธุรกิจหลากหลายประเภท แต่ช่วงหลังทรัพย์สินของเขากลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ฟอร์บส์ประเมินทรัพย์สินของทรัมป์ในปัจจุบันอยู่ที่ราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประสบปัญหาทางธุรกิจจนต้องยื่นฟ้องล้มละลายถึง 6 ครั้ง และธุรกิจบางแห่ง เช่น Trump Steaks และ Trump University ต้องปิดตัว ขณะเดียวกัน รายงานจากเดอะนิวยอร์กไทมส์ยังเผยว่าทรัมป์มีประเด็นการหลบเลี่ยงภาษีและการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
ชีวิตครอบครัวที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ชีวิตครอบครัวของโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประเด็นที่ถูกสื่อและสาธารณชนให้ความสนใจอยู่เสมอ ภรรยาคนแรกของเขา อิวานา เซลนิกโควา นักกีฬาและนางแบบชาวเช็ก มีชื่อเสียงไม่น้อย
ทั้งสองมีลูกด้วยกันสามคน ได้แก่ โดนัลด์ จูเนียร์, อิวานกา และอีริก แต่การแต่งงานสิ้นสุดลงด้วยการหย่าร้างในปี 1990 หลังการต่อสู้ในศาลที่เป็นข่าวใหญ่ ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวหาการทารุณกรรมครอบครัวที่อดีตภรรยาได้ออกมาเปิดเผยก่อนจะลดความรุนแรงของคำกล่าวลงในภายหลัง
ทรัมป์แต่งงานครั้งที่สองกับ มาร์ลา เมเปิลส์ นักแสดงสาวในปี 1993 หลังจากที่ ทิฟฟานี ลูกสาวคนเดียวของทั้งคู่เกิดได้เพียงสองเดือน ความสัมพันธ์ครั้งนี้สิ้นสุดในปี 1999 ก่อนที่ทรัมป์จะพบกับภรรยาคนปัจจุบัน เมลาเนีย ทรัมป์ อดีตนางแบบชาวสโลวีเนีย ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2005 และมีลูกชายหนึ่งคนคือ บาร์รอน วิลเลียม ทรัมป์ ที่ปัจจุบันอายุ 18 ปี ชีวิตครอบครัวของทรัมป์มักอยู่ในกระแสข่าว ทั้งในเรื่องของการประพฤติมิชอบทางเพศและข่าวนอกใจที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเขาในฐานะนักการเมือง
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ถูกศาลตัดสินให้จ่ายค่าชดเชยจำนวน 88 ล้านเหรียญสหรัฐแก่ อี.จีน คาร์โรลล์ นักเขียนที่เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศจนทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียง
แม้ทรัมป์จะยื่นอุทธรณ์ อีกทั้งเขายังถูกตั้งข้อหาทางอาญา 34 กระทงจากการปลอมแปลงเอกสารทางธุรกิจ เพื่อลวงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับข้อตกลงเงินปิดปากกับ สตอร์มี แดเนียลส์ นักแสดงหนังผู้ใหญ่ ซึ่งอ้างว่ามีความสัมพันธ์นอกสมรสกับทรัมป์เมื่อปี 2006
ก้าวสู่เส้นทางการเมือง
โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มต้นสนใจการเมืองในช่วงปี 1980 แม้จะเคยกล่าวถึงการเมืองว่าเป็น “ชีวิตที่โหดร้าย” และมองว่าคนที่มีความสามารถมักเลือกทำธุรกิจมากกว่า อย่างไรก็ตาม ในปี 1987 ทรัมป์ได้ทดลองหยั่งเชิงด้วยการประกาศตัวเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกกับพรรคปฏิรูป ในปี 2000 และกลับมาอีกครั้งในปี 2012 ภายใต้สังกัดพรรครีพับลิกัน ก่อนจะลงสมัครจริงในปี 2015
ทรัมป์เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดที่เรียกว่า “birtherism” โดยตั้งคำถามว่า บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกิดในประเทศสหรัฐฯ จริงหรือไม่ เขายึดมั่นในแนวคิดนี้และยังปฏิเสธที่จะยอมรับว่าทฤษฎีนี้เป็นเรื่องโกหกจนถึงปี 2016 ซึ่งส่งผลให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะไม่เคยกล่าวขอโทษต่อโอบามาหรือสาธารณชน
ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ในเดือนมิถุนายน 2015 ทรัมป์ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ โดยย้ำว่าความฝันแบบอเมริกัน (American Dream) ได้ตายไปแล้ว แต่เขาจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม
คำปราศรัยของทรัมป์โดดเด่นด้วยการอวดอ้างความมั่งคั่งและประสบการณ์ในวงการธุรกิจ พร้อมกล่าวหาเม็กซิโกว่าเป็นต้นตอของปัญหายาเสพติด อาชญากรรม และการข่มขืนในสหรัฐฯ พร้อมสัญญาว่าจะสร้างกำแพงชายแดนที่ให้เม็กซิโกเป็นผู้จ่ายเงิน
สโลแกนหาเสียง “Make America Great Again” หรือ “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ดึงดูดผู้สนับสนุนได้มากมาย และทรัมป์สามารถคว้าชัยเหนือคู่แข่งในพรรครีพับลิกันอย่างง่ายดาย
การหาเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง รวมถึงกรณีเทปเสียงที่รั่วไหล ซึ่งเผยให้เห็นคำพูดเชิงล่วงละเมิดทางเพศ และการถูกวิจารณ์อย่างหนักจากคู่แข่งอย่าง ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต
แม้ผลสำรวจความคิดเห็นส่วนใหญ่จะบ่งชี้ว่าทรัมป์มีคะแนนตามหลังตลอดการเลือกตั้ง แต่เขาก็สามารถคว้าชัยชนะอย่างพลิกโผเหนือคลินตันในที่สุด ทรัมป์จึงได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ โดยสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2017
ดำรงตำแหน่งกลางดราม่าและความขัดแย้ง
โดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เข้ารับตำแหน่ง เขาใช้ทวิตเตอร์ (ปัจจุบันคือ X) เป็นช่องทางสื่อสารหลัก ประกาศความเห็นอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงการโต้เถียงกับผู้นำต่างชาติ นโยบายของทรัมป์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
รวมถึงการถอนตัวจากข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศและการค้าสำคัญ, ออกคำสั่งห้ามเดินทางจาก 7 ประเทศที่มีประชากรมุสลิมเป็นหลัก และการเปิดสงครามการค้ากับจีน รวมถึงการปรับลดภาษีที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างมาก
ระหว่างดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ต้องเผชิญกับการสอบสวนข้อกล่าวหาสมคบคิดระหว่างทีมหาเสียงกับรัสเซียในปี 2016 โดยอัยการพิเศษใช้เวลาสืบสวนเกือบสองปี แม้จะมีบุคคลถูกตั้งข้อหา 34 รายในข้อหาต่าง ๆ เช่น การแฮ็กคอมพิวเตอร์และการก่ออาชญากรรมทางการเงิน แต่ทรัมป์ไม่ได้ถูกดำเนินคดีโดยตรง
การสอบสวนไม่พบหลักฐานการสมคบคิดทางอาญาใด ๆ อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งนี้ได้สร้างความกังขาในสังคมต่อการดำรงตำแหน่งของเขา
ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 3 ที่ถูกยื่นถอดถอนจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากดดันยูเครนให้สอบสวน โจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตในปี 2020 การลงมติในสภาผู้แทนราษฎรที่นำโดยพรรคเดโมแครตเห็นชอบให้ถอดถอน แต่การลงมติในวุฒิสภาที่นำโดยพรรครีพับลิกันมีมติให้พ้นผิด
การเลือกตั้งปี 2020 ของเขาถูกกลบด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ หลังสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตและติดเชื้อมากที่สุดในโลก
แม้ทรัมป์จะได้รับคะแนนเสียงสูงถึง 74 ล้านเสียงในการเลือกตั้งปี 2020 แต่ก็ยังพ่ายให้กับไบเดน ทรัมป์ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและกล่าวหาว่ามีการทุจริตอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหาเหล่านี้ถูกศาลยกฟ้องมากกว่า 60 คดี เขาเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนไปรวมตัวกันที่รัฐสภาในวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะของไบเดน เหตุการณ์นี้กลายเป็นการจลาจลครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้สมาชิกรัฐสภาและรองประธานาธิบดีต้องเผชิญอันตราย
การจลาจลในวันที่ 6 มกราคมนำไปสู่การยื่นถอดถอนทรัมป์จากตำแหน่งอีกครั้ง แม้วุฒิสภาจะลงมติให้พ้นผิด แต่ครั้งนี้คะแนนเสียงเห็นชอบและไม่เห็นชอบต่างกันไม่มาก คำสั่งและการกระทำของทรัมป์ในวันนั้นกลายเป็นประเด็นสำคัญในคดีอาญาหลายคดีต่อมา ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงในสังคมถึงผลกระทบและความรับผิดชอบของทรัมป์ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
คืนทำเนียบขาวในวัย 78 ปี
หลังเหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ เส้นทางการเมืองของโดนัลด์ ทรัมป์ ดูเหมือนจะสิ้นสุดลง เขาถูกบรรดาผู้สนับสนุนและพันธมิตรคนสำคัญปฏิเสธอย่างชัดเจน และย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ฟลอริดา แต่ด้วยแรงสนับสนุนจากฐานแฟนคลับที่ยังคงภักดี ทรัมป์สามารถคงอิทธิพลในพรรครีพับลิกันต่อไปได้ แม้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วก็ตาม
มรดกที่ทรัมป์ทิ้งไว้ในศาลสูงสหรัฐฯ ได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของเขาในเรื่องสิทธิการทำแท้ง โดยผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษนิยม 3 คนที่เขาเสนอชื่อ ได้สร้างเสียงข้างมากในศาลและมีบทบาทสำคัญในการยกเลิกสิทธิการทำแท้งที่ดำเนินมาเกือบ 50 ปี แม้ว่าในศึกเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 พรรครีพับลิกันจะมีผลงานที่ไม่ดี และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นผลจากการสนับสนุนของทรัมป์ก็ตาม
การประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2024 ของทรัมป์ ทำให้เขากลับมาเป็นตัวเต็งในพรรครีพับลิกัน ท่ามกลางคู่แข่งหลายรายที่หวังจะชิงตำแหน่ง รวมถึงอดีตรองประธานาธิบดีของเขาเอง อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เลือกหลีกเลี่ยงการประชันวิสัยทัศน์และมุ่งโจมตีประธานาธิบดีไบเดน แทนที่จะเน้นถึงนโยบายใหม่ ๆ ของตนเอง
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังคงต้องเผชิญกับคดีความ 91 คดี รวมถึงคดีอาญา 4 คดี แต่การยื่นเรื่องให้เลื่อนการตัดสินของเขาประสบความสำเร็จ ทำให้หลายคดีถูกเลื่อนออกไปจนพ้นการเลือกตั้ง และแม้ว่าเขาจะถูกพยายามลอบสังหารขณะหาเสียงในรัฐเพนซิลเวเนีย แต่เหตุการณ์นี้ไม่ทำให้กระแสความนิยมของเขาลดลง ในทางตรงกันข้ามกลับช่วยเพิ่มการสนับสนุนจากกลุ่มแฟนคลับของเขามากยิ่งขึ้น
ไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว พรรครีพับลิกันได้เสนอชื่อทรัมป์เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งอาจกลายเป็นการรีแมตช์กับรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ที่ได้รับการสนับสนุนจากโจ ไบเดน ผู้ถอนตัวจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ทรัมป์จึงใช้โอกาสนี้โจมตีแฮร์ริส โดยเชื่อมโยงเธอกับความล้มเหลวของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความคิดเห็นชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นศึกที่สูสี
ช้างเท้าหลังของ “โดนัลด์ ทรัมป์”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เผยโพลเลือกตั้งสหรัฐฯ 2567 โค้งสุดท้าย ลุ้น ‘ทรัมป์’ หรือ ‘แฮร์ริส’ ชนะ
- ภรรยา โดนัลด์ ทรัมป์ โต้ข่าวลือ ลูกชายวัย 18 เป็นออทิสติก
- ด่วน! มือปืนจ่อซุ่มยิง ‘ทรัมป์’ ขณะตีกอล์ฟ พยายามลอบสังหารซ้ำสอง