สศช. เปิด 10 จังหวัดที่มี ‘คนจน’ มากที่สุดในประเทศไทย ปี 2566 ภาคใต้มีสัดส่วนคนจนสูง พบ 2 จังหวัด ครองแชมป์ 5 อันดับแรก ยาวนาน 15 ปี
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2566 พบว่า สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2565 มีจำนวน 3.79 ล้านคน ลดลงมาเหลือ 2.39 ล้านคน เป็นผลมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจภาคเกษตรกรรม และโครงการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในปี 2565
ภาพรวมสถานการณ์ความยากจนในระดับจังหวัดปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่มีสัดส่วนคนจนลดลง โดยเฉพาะจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนลดลงมากที่สุด 5 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน, ตาก, ศรีสะเกษ, กาฬสินธุ์ และพะเยา ตามลำดับ
ส่วนจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 มีทั้งหมด 12 จังหวัด ส่วนใหญ่แล้วเป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคกลาง ขณะที่กลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงมีสัดส่วนคนจนอยู่ในระดับสูง ประกอบด้วย
1. ประจวบคีรีขันธ์
2. สุพรรณบุรี
3. กำแพงเพชร
4. สตูล
5. ชัยภูมิฃ
6. พิษณุโลก
7. ตราด
8. สุราษฎร์ธานี
9. สมุทรปราการ
10. ชลบุรี
11. สมุทรสงคราม
12. ปทุมธานี
จังหวัดที่มีคนจนสูงสุด 10 อันดับ
1. ปัตตานี
2. นราธิวาส
3. แม่ฮ่องสอน
4. พัทลุง
5. สตูล
6. หนองบัวลำภู
7. ตาก
8. ประจวบคีรีขันธ์
9. ยะลา
10. ตรัง
จากรายงานพบว่า จ.ปัตตานีและแม่ฮ่องสอนติดอยู่ใน 5 อันดับแรก ของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังในจังหวัด หากพิจารณาจาก 10 จังหวัดแรกที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปี 2566 จะพบว่า 6 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง สตูล ตรัง และยะลา เป็นภาคใต้
จากการตรวจสอบตาราง สัดส่วนคนจนสูงสุด 10 จังหวัดในแต่ละปีระหว่างปี 2552 – 2566 มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ปัญหาความยากจน ในประเทศไทย ทั้งในมิติของ ภูมิภาคที่มีความยากจนเรื้อรัง และการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา ดังนี้
1. ความยากจนเรื้อรังในบางจังหวัด
- ปัตตานี และ นราธิวาส ครองตำแหน่งจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดอย่างต่อเนื่องเกือบทุกปี
- จังหวัดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องเผชิญกับ ความไม่สงบและความขัดแย้งทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและโอกาสในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- แม่ฮ่องสอน ก็เป็นอีกจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงติดอันดับมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงปัญหาความยากจนเชิงโครงสร้าง เนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกลและมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเข้าถึงบริการสาธารณะ
2. ภูมิภาคใต้มีปัญหาความยากจนสูง
ในปี 2566 จังหวัดในภาคใต้ถึง 6 จังหวัด ติดอันดับ ได้แก่ ปัตตานี, นราธิวาส, พัทลุง, สตูล, ยะลา และตรัง
สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างเศรษฐกิจและการพัฒนาในภาคใต้ ซึ่งยังพึ่งพาภาคการเกษตรและการประมง ที่มีรายได้ไม่แน่นอนและเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย
3. ความผันผวนของสัดส่วนคนจนในบางจังหวัด
ในบางปี จังหวัดอย่าง ตาก, กาฬสินธุ์ และ หนองบัวลำภู ติดอันดับในกลุ่มจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูง แต่ในบางปีสามารถหลุดออกจากกลุ่มนี้ได้
อาจอนุมานได้ถึงความสำเร็จบางส่วนจากการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและการสนับสนุนจากโครงการสวัสดิการ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้สถานการณ์ยั่งยืนได้ในระยะยาว
4. ความแตกต่างระหว่างภูมิภาค
- ภาคเหนือ เช่น แม่ฮ่องสอน, ตาก มักติดอันดับต้นๆ มาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข้อจำกัดด้าน ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ประชาชนมีรายได้ต่ำและโอกาสการพัฒนาน้อยลง
- ในขณะที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น กาฬสินธุ์, ศรีสะเกษ แม้จะเคยเป็นพื้นที่ที่มีความยากจนสูง แต่ในช่วงหลังพบว่าสัดส่วนคนจนลดลง สะท้อนถึง การพัฒนาเศรษฐกิจภาคการเกษตรและการกระจายความช่วยเหลือจากภาครัฐ
5. ความคงที่ของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนต่ำ
- เมื่อพิจารณาจากปี 2552 – 2566 พบว่า จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในระดับต้นๆ ซึ่งสะท้อนถึง ความยากลำบากในการแก้ปัญหาความยากจนในระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาความขัดแย้ง หรือมีข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์
6. ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
- ความไม่เท่าเทียมและความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ แม้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะเติบโต แต่ผลประโยชน์จากการเติบโตกลับไม่กระจายอย่างทั่วถึง
- การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการจ้างงาน ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดห่างไกลและจังหวัดที่มีปัญหาความไม่สงบ
ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเข้าถึงบริการสาธารณะ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เช่น แม่ฮ่องสอน และสามจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจมากขึ้น
- ส่งเสริมอาชีพและกระจายการลงทุน สู่ภูมิภาคต่างๆ เพื่อกระตุ้นการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน
- แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ด้วยการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และสนับสนุนโครงการสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมและยั่งยืน
- แก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง