ทำความรู้จัก อาต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ พิธีกรมือหนึ่งของวงการบันเทิงไทย กับชีวิตที่พลิกผันจากทนายความหน้าบัลลังก์ศาล สู่การเป็นตำนานครองจอแก้วที่ยังมีลมหายใจ
หากพูดถึงพิธีกรรุ่นใหญ่ที่ยังคงเรียกเรตติ้งผู้ชมได้อย่างล้นเหลือ หนึ่งในนั้นก็คงจะมีชื่อของ ไตรภพ ลิมปพัทธ์ หรือที่เหล่าคนบันเทิงเรียกกันว่า อาต๋อย ตำนานพิธีกรที่ยังมีลมหายใจ ไม่ว่าจะรายการไหน ๆ ก็เอาอยู่ทั้งหมด ด้วยการดำเนินรายการที่เป็นเอกลักษณ์ และน้ำเสียงที่พูดคุยสัมภาษณ์แขกรับเชิญที่ดูอบอุ่น ทำให้อาต๋อยกลายเป็นพิธีกรดังที่ครองจอแก้วมานานกว่า 40 ปีแล้ว
แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้จริงแล้วอาชีพพิธีกรและงานในวงการบันเทิงไม่เคยอยู่ในสายตาของผู้ชายที่ชื่อ ไตรภพ ลิมปพัทธ์ เลยแม้แต่น้อย ทว่าด้วยโชคชะตากำหนดทำให้เขากลายเป็นคนมีชื่อเสียงในพริบตาเดียว หลังจากตัดสินใจมาร่วมเล่นเกมโชว์กับลูกพี่ลูกน้อง
ฝันอยากเรียนวิศวะ จุฬาฯ แต่ดันจบ นิติศาสตร์ ม.รามฯ แทน
อาต๋อย ไตรภพ เกิดวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 ที่ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช และมาเติบโตที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรชายคนโต ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 4 คน
เคยศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดสระเกศ และเคยคิดที่จะสอบเอ็นทรานซ์เข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยเฉพาะคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะเห็นญาติทางฝ่ายแม่ เรียนคณะนี้แล้วเท่ห์ แต่ด้วยความที่เป็นคนเรียนหนังสือไม่ค่อยเก่ง ประกอบกับช่วงที่เรียนมัธยมปลายเริ่มให้ความสนใจกับการเที่ยวเตร่มากกว่าการเรียน ทำให้สอบเอ็นทรานซ์ไม่ผ่าน ไม่มีชื่อติดอันดับในคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกมหาวิทยาลัย
หลังจากรู้ว่าตัวเองเดินไปถึงฝันที่ตั้งใจเอาไว้ไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเมื่อสำเร็จการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์แล้ว ในปีพ.ศ. 2525 ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ก็ได้เข้าทำงานเป็น “ทนายความ” ในสำนักกฎหมาย มณี เทพภักดี
จุดเริ่มต้นเข้าสู่อาชีพ “พิธีกร”
ระหว่างที่ ต๋อย ไตรภพ ทำงานเป็นทนายความอยู่นั้น ลูกสาวของป้าสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ได้อันดับ 1 ตนจึงเสนอของขวัญ 1 อย่างให้กับลูกพี่ลูกน้อง แต่ของขวัญที่น้องสาวอยากได้นั้นไม่ใช่สิ่งของแต่เป็นการชวนไปร่วมเล่นเกมในรายการเกมโชว์ ชื่อ เกมล้มเค้า ออกอากาศทางช่อง 5 เป็นเกมที่เอาสองครอบครัวมาแข่งกัน ตอนแรกก็ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ด้วยความเป็นลูกผู้ชายสัญญาเอาไว้แล้วก็ต้องไป
แน่นอนว่าคนทั่วไปเมื่อต้องออกโทรทัศน์ก็มักจะประหม่า กลัวกล้อง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก แต่สำหรับไตรภพแล้วการพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ไม่ใช่ปัญหาของทนายที่ยืนว่าความหน้าบัลลังก์ศาลเป็นอาชีพ ฉะนั้นการร่วมเล่นเกมโชว์ในวันนั้นเขาพูดจาฉะฉาน กล้าสื่อสารโต้ตอบ แถมก่อนจบรายการยังถามพิธีกรด้วยว่า “ถ้าอยากพูดกับผู้ชมต้องพูดกับกล้องไหน” พอพิธีกรบอกว่า ถ้าเห็นกล้องไหนที่มีไฟแดงขึ้นให้พูดกับกล้องนั้น เขาก็พูดประโยคสั้นๆ ว่า “สวัสดีคุณยาย ต๋อยออกทีวีแล้วนะ”
และด้วยลีลาการแสดงออก รวมกับการพูดจาที่ชัดถ้อยชัดคำ ดันไปเข้าตา ต้น ลาวัลย์ ชูพินิจ ผู้บริหาร JSL เจ้าของรายการ หลังถ่ายเสร็จคุณต้นจึงรีบติดต่อเชิญให้มาพูดคุยด้วย ก่อนจะยื่นข้อเสนอให้เขามาเป็นพิธีกรในรายการใหม่ของ JSL
ตอนแรกตนปฏิเสธไป ก่อนจะเล่าให้ภรรยาฟัง และผลักดันให้เขารับโอกาสนี้เอาไว้ ส่วนทางด้าน ต้น ลาวัลย์ ก็ติดต่อกลับมาอีกครั้ง พูดเชิญชวนให้มาเป็นพิธีกรรายการใหม่เหมือนเดิม แต่น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังมากกว่าเดิม และขอให้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง สุดท้ายนึกถึงคำพูดภรรยา จึงตอบตกลงที่จะลองก้าวเข้าสู่อาชีพใหม่ในวงการบันเทิง
รางวัลแรกหลังพิสูจน์ตัวเองในฐานะ พิธีกร รายการเกมโชว์
รายการแรกที่ไตรภพเป็นพิธีกร คือ พลิกล็อค ร่วมกับพิธีกรอีก 2 คน คือ วาสนา สิทธิเวช นางเอกสาวคนดังของยุค และ ดี๋ ดอกมะดัน ตลกแถวหน้าของเมืองไทยในขณะนั้น หลังจากนั้น ทาง JSL ก็ได้เปลี่ยนพิธีกรเป็น ปัญญา นิรันดร์กุล ส่วนไตรภพก็ไปบุกเบิกรายการใหม่ ๆ อย่าง ‘ลาภติดเลข’ เขาทำผลงานโดดเด่นถึงขั้นคว้ารางวัลเมขลา ประจำ พ.ศ. 2526 สาขา ผู้ดำเนินรายการบันเทิงดีเด่น ฝ่ายชาย มาครอบครอง จากรายการ ลาภติดเลข ซึ่งออกอากาศทางช่อง 5
ทว่าในปีพ.ศ. 2527 เขาตัดสินใจลาออกด้วยเหตุผลบางอย่าง และหันกลับไปเป็นทนายความอย่างเดียว สุดท้ายโชคชะตาก็ลิขิตขีดเส้นทางเอาไว้ให้แล้ว ทำให้ในช่วงปลายปีเดียวกัน สองผู้บริหารจากค่ายกันตนา คือ กิตติ โรจน์ชลาสิทธิ์ และ จาฤก กัลย์จาฤก ชักชวนให้มาร่วมงานกัน
โดยได้เริ่มเป็นพิธีกรในรายการ ท้าพิสูจน์ ทางช่อง 7 สี พร้อมกับรับงานแสดงเป็นครั้งคราวไป โดยบทบาทการแสดง ซึ่งเป็นที่จดจำคือ การรับบทเป็น มังตราตะเบ็งชะเวตี้ ในละครเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2532 และเคยแสดงภาพยนตร์อยู่ 1 เรื่อง คือ อีก 10 วันโลกจะแตก โดยรับบทเป็น ดร.มีบุญ ซึ่งเป็นนักแสดงนำของเรื่องร่วมกับ ญาณี ตราโมท เมื่อปี พ.ศ. 2530
ผู้ก่อตั้งและผลิตรายการเกมโชว์ส่งช่อง 3
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2527 ไตรภพ ร่วมกับ ก่อเกียรติ ลิมปพัทธ์ (น้องชายของตนเอง) จดทะเบียน และก่อตั้งบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อว่า บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด เพื่อผลิตรายการโทรทัศน์ ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดยเริ่มต้นจากรายการ ‘เอาไปเลย’ ในปี พ.ศ. 2527 เป็นลำดับแรก
และด้วยความที่ในตอนนั้นช่อง 3 ยังไม่เคยมีรายการเกมโชว์แบบนี้ ทำให้รายการ ‘เอาไปเลย’ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจากผู้ชม ส่งผลให้ไตรภพได้เวลาจากช่อง 3 เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดรายการเกมโชว์ใหม่ ๆ ตามมาอีกเพียบ ตั้งแต่ เกมละครปริศนา, อะไรเล่า, 50/50, รวยอุตลุด, คุณขอมา ฯลฯ จนเขาต้องหยุดอาชีพทนายความ เพื่อทุ่มเวลากับงานบันเทิงเต็มตัว
หากแต่รายการที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และกลายเป็นภาพจำติดตัวผู้ชายที่ชื่อไตรภพเรื่อยมา คงต้องยกให้ ฝันที่เป็นจริง ซึ่งเริ่มออกอากาศเทปแรกเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2531
หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2533 ไตรภพเริ่มผลิตรายการ วาไรตี้โชว์ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นคือ ทไวไลท์โชว์ โดยออกอากาศในช่วงตอนบ่ายค่อนไปทางช่วงตอนเย็นวันอาทิตย์ ความน่าสนใจของรายการนี้คือความหลากหลาย ครบรส และเต็มอิ่ม สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าแขกรับเชิญที่เป็นดารานักแสดง และแขกรับเชิญสุดพิเศษที่ไม่เคยออกรายการไหนมาก่อน นั่นก็คือ คำถามที่ป้อนให้ผู้ร่วมรายการนั้น เจาะลึกไปถึงเส้นทางชีวิตของแต่ละคน ทำให้ผู้ชมได้เห็นถึงการต่อสู้ การฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนมีวันนี้ ซึ่งหลายอย่างก็นำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเองได้
ตลอดเวลาเกือบ 20 ปีที่ ทไวไลท์โชว์ อยู่คู่จอโทรทัศน์ ถือเป็นรายการที่ประสบความสำเร็จสูงสุด จนไม่มีช่องไหนอยากทำรายการแข่งในช่วงเวลาเดียวกัน แถมช่อง 3 ยังขยายเวลาออกอากาศจากชั่วโมงเดียวกลายเป็น 3 ชั่วโมง คือ 15.00 – 18.00 น.
เกมเศรษฐี รายการเรตติ้งดีแห่งยุค
ต่อมา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 ไตรภพผลิตรายการเกมโชว์แบบควิซโชว์รายการแรกในประเทศไทยคือ เกมเศรษฐี พร้อมกับเป็นพิธีกรด้วยตนเอง ต้องบอกเลยว่ากลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปทั่วเมืองไทย ณ ขณะนั้น
ในยุคนั้น เกมเศรษฐี ฮอตฮิตมากถึงขั้นทุกเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ บนถนนแทบไม่มีรถวิ่ง เช่นเดียวกับเรตติ้งของรายการ ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์คือ 30 มากกว่าละครดัง ๆ ร่วมยุคเกือบเท่าตัว
และเมื่อจัดสัญจรในต่างจังหวัด ก็ยังได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม เช่น ตอนไปเชียงใหม่ มีคนมาต่อคิวสมัครร่วมเล่นเกมถึง 20,000 คน นับเป็นปรากฏการณ์ที่น้อยคนนักจะทำได้
จากพิธีกร สู่ ผู้อำนวยการ ไอทีวี
ในพ.ศ. 2539 ไตรภพเข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการของสถานีโทรทัศน์ไอทีวีครั้งที่ 1 แต่เหตุเนื่องด้วย มีความคิดที่แตกต่างจากผู้บริหารเนชั่น ประกอบกับการที่ไตรภพยังทำรายการให้กับทางช่อง 3 ทำให้ไตรภพขอยุติบทบาทการเป็นผู้อำนวยการสถานีฯ ชั่วคราว จากนั้นในช่วงปี พ.ศ. 2547 เมื่อ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ประสบปัญหาการถือหุ้นของผู้บริหารเนชั่น บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด จึงกลับเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมกับ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ทำให้ไตรภพกลับมาเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเป็นครั้งที่ 2 โอกาสนี้ไตรภพได้ย้ายรายการที่ผลิตโดย บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด จากช่อง 3 มาออกอากาศทางไอทีวีทั้งหมด แต่การเป็นผู้อำนวยการสถานี ฯ ของไตรภพ ก็เป็นได้แค่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ สืบเนื่องมาจากปัญหาการปรับผังรายการที่ไม่ลงรอย ทำให้ไตรภพต้องกลับไปสู่ฐานะผู้จัดรายการ และผู้เช่าเวลาของสถานีตามเดิม
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551 สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ต้องสิ้นสภาพลงตามกฎหมาย จนแปลงสภาพเป็น สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส รายการทั้งหมดของ บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด จึงยุติการออกอากาศลงด้วยเช่นกัน และทำให้ไตรภพ หายไปจากวงการบันเทิงถึง 9 เดือนด้วยกัน
อาต๋อย ไตรภพ กลับมารันวงการพิธีกรบนจอแก้วอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอดท์ จึงเริ่มผลิตรายการโทรทัศน์อีกครั้ง ทางช่อง 7 สี ชื่อรายการว่า คลับเซเว่น ซึ่งออกอากาศทุกวันอังคาร เวลา 22.30 – 00.30 น. แต่ออกอากาศไปได้ถึงสิ้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 เท่านั้น เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันระดับความนิยมของช่อง 7 กับช่อง 3 ได้
ซึ่งในขณะนั้นรายการ ตีสิบ มาแรงมาก ๆ ทางสถานีจึงตัดสินใจให้คลับเซเว่นเปลี่ยนวันออกอากาศไปเป็นวันพุธ แต่ไตรภพไม่พอใจกับผังเวลาที่ได้รับ จึงได้ถอนตัวออกจากผังรายการของสถานีฯ และทางสถานีฯ ได้นำเอารายการชิงร้อยชิงล้าน มาออกอากาศแทน ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่ไตรภพ ลิมปพัทธ์ อยากจะออกจากวงการไปกอย่างถาวร
ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ไตรภพกลับมาผลิตรายการกับช่อง 3 อีกครั้ง ตามคำเชิญของประวิทย์ มาลีนนท์ โดยใช้ชื่อรายการว่า ทูไนท์โชว์ ออกอากาศทุกวันจันทร์ เวลา 23.00 – 24.00 น. และตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ได้รับจัดสรรเวลาเพิ่มเป็น 23.00 – 00.30 น.
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ไตรภพได้รับจัดสรรเวลาจากช่อง 3 อีกครั้ง โดยไตรภพได้ทำการฟื้นคืนชีพรายการ ทไวไลท์โชว์ ซึ่งเป็นรายการที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในอดีตกลับมาออนแอร์อีกครั้ง แต่ก็ไปต่อไม่ถึงฝั่ง จึงขอยุติทำรายการทไวไลท์โชว์ลง และเปลี่ยนเป็นรายการครัวคุณต๋อย Saturday แทน โดยออกอากาศทุกวันเสาร์ 16.00 น. – 17.00 น. เริ่มออกอากาศครั้งแรกวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557 จนถึงวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
และในปีเดียวกัน ไตรภพได้รับจัดสรรเวลาออกอากาศอีกครั้ง โดยใช้ชื่อรายการ ทูเดย์โชว์ (ทูไนท์โชว์เดิม) ออกอากาศทุกวันอาทิตย์เวลา 14.45 น. – 16.45 น. ทางช่อง 3 โดยออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2558
ครัวคุณต๋อย อีกหนึ่งข้อพิสูจน์ความสร้างสรรค์ของ ไตรภพ ลิมปพัทธ์
ไตรภพ เผยว่า ไอเดียของรายการ ครัวคุณต๋อย มาจากข้อสังเกตที่ว่า ทำไมรายการครัวในประเทศไทยถึงมีแต่พ่อครัวมาเป็นพิธีกรดำเนินรายการ ทำให้คนไม่ค่อยเชื่อว่าคน ๆ เดียวจะทำอาหารทุกอย่างอร่อยทั้งหมด แม้ว่าพ่อครัวคนนั้นจะเก่งแค่ไหน จึงคิดว่าแทนที่จะใช้เชฟคนเดียวมาทำ เราก็ไปตามหาสุดยอดฝีมือของอาหารแต่ละชนิดมาสอนเลยดีกว่า
แต่ก็ต้องยอมรับว่าสูตรอาหารในสมัยนั้นที่ทำรายการใหม่ ๆ มันคือเป็นความลับที่ไม่มีใครยอมเปิดเผย ไตรภพจึงไปเกลี้ยกล่อมตะล่อมถามสูตรเด็ดจากเมนูผัดผักบุ้ง ของ ครัวเจ๊ง้อ มาเป็นตัวเปิดเทปแรกของรายการ และผลตอบรับก็ดีมาก ๆ เพราะหลังจากออกอากาศเทปครัวเจ๊ง้อไป คนที่ได้ชมก็ไปลองซื้อผักบุ้งมาทำตามสูตรบ้าง และก็อร่อยจริง ๆ
ตลอดเวลากว่า 10 ปี มีร้านอาหารมาร่วม ครัวคุณต๋อย นับพันร้าน ผลตอบรับจากแฟนรายการดีเยี่ยม จนเกิดการต่อยอดไปสู่การทำนิตยสาร แอปพลิเคชัน รวมถึงเทศกาลอาหาร ครัวคุณต๋อย Expo และครัวคุณต๋อยยกทัพ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
