จับตา 48 ชม. ลุ้นหมายจับ บ.เครือข่ายดัง ย้ำชัด ล็อตแรกไม่ใช่คนเดียว
จ่อออกหมายจับ บอสขายตรงบริษัทดัง เผยจับตา 48 ชั่วโมงจากนี้ ปปง.เร่งสอบอายัดบัญชี รองโฆษกสำนักงานตำรวจชี้ชัดผลิตภัณฑ์ถ้าไม่ได้มาตรฐานจริง อาจเข้าข่ายชวนระดมทุนมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนพ่วงแชร์ลูกโซ่
ความคืบหน้ากรณี บ.ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถูกผู้เสียหายจำนวนมากออกมาร้องทุกข์แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของกิจการแและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดที่มีการชักชวนร่วมลงทุนทำให้สูญเงินไปหลักแสนหลักล้านบาท ล่าสุดเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยหลังการประชุมว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมพิจารณาว่าจะออกหมายจับผู้ต้องหาในอีก 48 ชม. ต่อจากนี้หรือไม่
โดยปัจจุบันรองโฆษก ตร. กล่าวว่า มียอดผู้เสียหายแล้ว 161 ราย ความเสียหายประมาณ 62 ล้านบาท ตำรวจ ปคบ.และสคบ.ได้เดินทางไปที่สำนักงานใหญ่ของดิไอคอน เพื่อตรวจสอบการประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต จากสคบ.คือธุรกิจตลาดตรง การตรวจค้นก็เป็นการค้นหาข้อมูลการทำธุรกิจ รวมถึงการตรวจยึดผลิตภัณฑ์จำนวน 15 รายการ ที่มีการกล่าวอ้างว่านำมาใช้ในการจำหน่ายกับประชาชน หลังจากนั้นผลิตภัณฑ์ทั้ง 15 รายการทางปคบ.จะจัดส่งไปตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และจากการสืบสวนกลุ่มผู้ถูกกล่าวาหา รองโฆษกฯ ย้ำว่ามีทรัพย์สนที่เคลื่อนย้ายได้ยาก ซึ่งตัวจะนี้ไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้เวลารวดเร็ว เมื่อประเมินจากความเสียหาย ส่วนการดำเนิการเอาผิดนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ธุรกิจที่กำลังเป็นประเด็นน้้นมี 2 แบบ เรียกว่า ขายตรง กับ “ธุรกิจตลาดตรง” ซึ่งทั้งสองแบบได้รับการอนุญาตตามกฏหมายคุ้มครองผู้บริโภคของสคบ. โดยผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้คือการประกอบธุรกิจแบบตลาดตรง เป็นธุรกิจตลาดตรงโดยใช้ช่องทางต่าง ๆ โดยไม่ได้ไปเคาะประตูขายแล้วส่งของไปให้ผู้บริโภคตามบ้านเรือน แต่จะมีเส้นบาง ๆ เกิดขึ้นระหว่าง 2 ธุรกิจนี้กับแชร์ลูกโซ่ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังตั้งข้อสงสัยกับ บ.ดิไอคอนฯ ประกอบธุรกิจตลาดตรงหรือเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ ซึ่งต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่มาจำหน่ายว่ามีมาตรฐานเหมือนกับสินค้ามาตรฐานตามท้องตลาดโดยทั่วไปหรือไม่
ประเด็นที่ 2 คือ “วิธีการจำหน่ายสินค้า” หรือวิธีการที่ทำให้บริษัทมียอดขาย มีกำไร ใช้วิธีการโปรโมตขายสินค้าหรือ ใช้วิธีการระดมทุน ถ้าเมื่อไหร่ไประดมทุนนั่นคือฐานมีความผิดฐานแชร์ลูกโซ่ กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฏหมายฟอกเงิน ซึ่งช่วงบ่ายนี้ ปคบ.นัดหมาย สำนักงานเศรษฐกิจกระทรวงการคลังมาหารือในข้อก.ม.และมีการสอบปากำรวมถึงประชุมร่วกัน เพื่อตั้งข้อหาให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนนำไปสู่กระบวนการออกหมายจับ
ในวันนี้ช่วงเข้ามีการประชุมร่วมกับ สคบ. บ่ายนี้จะมีการประชุมร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และเย็นนี้จะมีการหารือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เนื่องจากปัจุบันทั้งตัวผู้เีสยหายและมูลค่าความเสียหายใกล้เคยงทีจะเข้าเป็นคดีพิเศษ ดังนั้นทิศทางการรวมรวบสำนวนหลักฐานจากนี้จึงต้องรัดกุม เพื่อไม่ให้มีรอยต่อระหว่าง คณะสอบสวนเดิกับดีเอสไอ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับความดูแลหลังเกิดความเสียหายอย่างดีที่สุด
ส่วนตอนนี้เบื้องต้นอาจเข้าข่ายความผิดฐาน พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 ความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน ม.5 ม.60 โดยความผิดฐานฟอกเงินต้องดำเนินคดีทั้งบุตคคลธรรมดาและนิติบุคคล ตรงนี้ทางตำรวจขอเวลาอีก 48 ชม. ให้ติดตาม
ทั้งนี้ พ.ต.อ.อุเทน ในฐานะรองโฆษก ตร. ได้เน้นย้ำทุกความผิดหากตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่าเข้าข่ายไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ ทางเจ้าหน้าที่พนง.สืบสวนจะใช้ลงโทษตามกฏหมายที่เป็นบทหนักสุด เป็นอายุความในคดีอาญา ฉ้อโกงประชาชนหรือความผิดฐานฟอกเงินอายุความจะมากกว่า ล็อตแรกไม่ใช่คนเดียวแน่นอน.
“ในธุรกิจตลาดตรงจะมุ่งเน้นขายสินค้า ส่วนผู้บริโภคเชื่อในคุณภาพสินค้า แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณทำการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นที่คุณภาพผิตภัณฑ์ แต่มุ่งเน้นที่พรีเซนเตอร์ ผู้ร่วม ตลอดจนองค์ประกอบที่ปรึกษา อันนี้สุ่มเสี่ยงที่จะผิดธุรกิจแชร์ลูกโซ่ คุณไม่ได้ประกอบธุรกิจตลาดตรง” รองโฆษก ตร. เน้นย้ำ.
อ่านข่าวเพิ่มเติม