บันเทิงภาพยนตร์

ประวัติ ‘ฉลอง ภักดีวิจิตร’ เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น ผกก.อังกอร์

ในโลกภาพยนตร์ไทยที่เต็มไปด้วยสีสันและเรื่องราวหลากหลาย บุรุษผู้หนึ่งได้สร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือและวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใคร ฉลอง ภักดีวิจิตร หรือที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น” คือผู้กำกับที่กล้าบุกเบิกเส้นทางใหม่ นำพาภาพยนตร์ไทยก้าวไกลสู่ระดับสากล

เส้นทางของ “ฉลอง ภักดีวิจิตร” บุรุษผู้สร้างตำนานภาพยนตร์ไทย

ฉลอง ภักดีวิจิตร เกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2474 เขาเริ่มต้นเส้นทางในวงการบันเทิงด้วยการเป็นช่างภาพ ก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยฉากแอ็คชั่นที่ตื่นเต้นเร้าใจ และการผสมผสานวัฒนธรรมไทยกับสากลได้อย่างลงตัว ภาพยนตร์เรื่อง “ทอง” และ “ทอง 2” ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่ทำให้ชื่อของฉลอง ภักดีวิจิตร เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

Advertisements

สิ่งที่ทำให้ฉลองแตกต่างจากผู้กำกับคนอื่นๆ คือความกล้าที่จะนำ “ดาราฝรั่ง-ต่างชาติ” มาร่วมงานในภาพยนตร์ไทย เขาได้ร่วมงานกับนักแสดงชื่อดังระดับโลกมากมาย เช่น เกรก มอริส, คริส ท็อฟ, แจน ไมเคิล วินเซนต์, คริสโตเฟอร์ มิทชั่ม และโอลิเวียร์ ฮัสซีย์ การทำงานร่วมกับนักแสดงต่างชาติเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มความน่าสนใจให้กับภาพยนตร์ของเขา แต่ยังเป็นการเปิดประตูให้ภาพยนตร์ไทยก้าวไปสู่ตลาดโลก

ไม่เพียงแต่แผ่นฟิล์มจะจารึกชื่อของฉลอง ภักดีวิจิตร ในฐานะ “เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น” เท่านั้น แต่โลกละครโทรทัศน์ก็ต้องสั่นสะเทือนด้วยฝีมือของเขาเช่นกัน ฉลองคือผู้บุกเบิกละครแนวแอ็คชั่นของช่อง 7 สี ด้วยผลงานชิ้นแรกอย่าง “ระย้า” ที่นำแสดงโดยพีท ทองเจือ และฉัตรมงคล บำเพ็ญ ความสำเร็จของละครเรื่องนี้ได้จุดประกายให้เกิดละครแอ็คชั่นอีกมากมายตามมา สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมทั่วประเทศ

จาก “ดาวคนละดวง” สู่ “รักซึมลึก” จาก “อังกอร์” สู่ “ทอง 5” และจาก “ล่าสุดขอบฟ้า” สู่ “ฝนใต้” ฉลองได้สร้างสรรค์ผลงานละครที่หลากหลาย แต่ทุกเรื่องล้วนเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นที่เร้าใจ และเรื่องราวที่เข้มข้นชวนติดตาม ละครของเขาไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปออกอากาศในต่างประเทศอีกด้วย

ด้วยผลงานที่โดดเด่นและความทุ่มเทตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ ฉลอง ภักดีวิจิตร ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้กำกับภาพยนตร์) ประจำปี พ.ศ. 2556 และในปี พ.ศ. 2566 เขาได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญด้วยการได้รับการบันทึกลงในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ว่าเป็นผู้กำกับการแสดงที่มีอายุมากที่สุดในโลก

เส้นทางของ ฉลอง ภักดีวิจิตร บุรุษผู้สร้างตำนานภาพยนตร์ไทย

Advertisements

วัยเยาว์ในโลกภาพยนตร์ของฉลอง ภักดีวิจิตร

ฉลอง ภักดีวิจิตร ถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวที่ผูกพันกับโลกภาพยนตร์อย่างแน่นแฟ้น บิดาของเขา รองอำมาตย์โทพุฒ ภักดีวิจิตร รับราชการในกองแบบแผน กรมรถไฟหลวง ส่วนมารดาชื่อ ลิ้นจี่ ขณะที่พี่น้องทั้งสี่คนต่างก็มีบทบาทในวงการสร้างภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น วิจารณ์, เขียวหวาน, วินิจ และแม้กระทั่งอาของเขา สด ภักดีวิจิตร ก็เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เช่นกัน

ฉลองได้ซึมซับบรรยากาศของโลกภาพยนตร์มาตั้งแต่เยาว์วัย ภาพกองถ่าย เสียงกล้อง และเรื่องราวต่างๆ ที่พี่น้องเล่าให้ฟัง กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ การเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หล่อหลอมให้เขามีความหลงใหลในศิลปะภาพยนตร์ และเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเดินตามรอยเท้าของคนในครอบครัว

เส้นทางการศึกษาของฉลองเริ่มต้นที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ซึ่งเขาได้ศึกษาจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนจะเข้าศึกษาต่อระดับเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ แม้จะไม่ได้จบการศึกษาในระดับสูง แต่ประสบการณ์ที่ได้รับจากครอบครัวและความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง กลายเป็นรากฐานสำคัญที่นำพาเขาสู่เส้นทางแห่งผู้กำกับภาพยนตร์ผู้เป็นตำนานในเวลาต่อมา

ก้าวแรกสู่โลกมายา เบื้องหลังเลนส์

เส้นทางสู่การเป็น “เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น” ของฉลอง ภักดีวิจิตร เริ่มต้นจากเบื้องหลังกล้อง ในฐานะตากล้องผู้จับภาพความมหัศจรรย์ของโลกภาพยนตร์ เขาเริ่มต้นจากยุคฟิล์ม 16 ม.ม. ก่อนจะพัฒนาฝีมือจนสามารถถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยฟิล์ม 35 ม.ม. ได้อย่างเชี่ยวชาญ

ด้วยสายตาอันเฉียบคมและความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเลนส์ ฉลองได้รับความไว้วางใจจากบริษัทสร้างภาพยนตร์ชั้นนำมากมาย อาทิ วัชรภาพยนตร์, ภาพยนตร์สหะนาวีไทย, ธาดาภาพยนตร์, นพรัตน์ภาพยนตร์ และอีกหลายแห่ง ผลงานการถ่ายภาพของเขาปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ไทยชื่อดังหลายเรื่อง เช่น “สิงห์เดี่ยว”, “7 ประจัญบาน”, “เขี้ยวพิษ”, “เก้ามหากาฬ”, “จ้าวพยัคฆ์”, “อินทรีมหากาฬ” และอีกมากมาย ภาพที่สวยงามและทรงพลังเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถอันโดดเด่นของเขาในฐานะตากล้อง

ไม่เพียงแต่จะถ่ายทอดเรื่องราวของผู้อื่น ฉลองยังมีความทะเยอทะยานที่จะสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง เขาจึงก้าวสู่บทบาทของผู้อำนวยการสร้างและถ่ายภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง “น้ำเพชร” ซึ่งเป็นการร่วมงานกับนักแสดงชื่อดังอย่าง มิตร ชัยบัญชา และเพชรา เชาวราษฎร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของฉลองในการควบคุมการผลิตภาพยนตร์ และเป็นจุดเริ่มต้นที่นำเขาไปสู่การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ผู้มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา

กำกับภาพยนตร์ สู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ

ฉลอง ภักดีวิจิตร ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้กำกับภาพยนตร์อย่างเต็มตัวด้วยผลงานเรื่องแรก “จ้าวอินทรี” ภาพยนตร์ 16 ม.ม. ที่นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา และพิศมัย วิไลศักดิ์ ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถของฉลองในการกำกับการแสดง และเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางอันรุ่งโรจน์ในวงการภาพยนตร์ไทย

ฉลองยังคงสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาพยนตร์เรื่อง “ฝนใต้” ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2513 เป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เขาเป็นอย่างมาก

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการผสมผสานระหว่างดราม่าและแอ็คชั่นได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งนำเสนอวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวใต้ได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ ฉลองยังได้นำนักร้องลูกทุ่งชื่อดังอย่าง เพลิน พรหมแดน และกังวานไพร ลูกเพชร มาร่วมแสดง ซึ่งถือเป็นการสร้างสีสันและความแปลกใหม่ให้กับภาพยนตร์ไทยในยุคนั้น

ความสำเร็จของ “ฝนใต้” ทำให้ฉลองกลายเป็นผู้กำกับที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เขาสร้างภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จทั้งในและต่างประเทศ เช่น “2 สิงห์ 2 แผ่นดิน” ที่เป็นการร่วมทุนสร้างกับฮ่องกง และ “ทอง” ที่ใช้งบประมาณมหาศาลและนำนักแสดงต่างชาติชื่อดังมาร่วมแสดง ภาพยนตร์เรื่อง “ทอง” ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของฉลอง โดยสามารถทำรายได้ถล่มทลายทั้งในและต่างประเทศ และยังได้รับรางวัลตุ๊กตาทองถึง 3 รางวัล

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฉลอง ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาและสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ เขาได้นำดาราฮอลลีวูดชื่อดังอย่าง โอลิเวีย ฮัสซีย์ และคริสโตเฟอร์ มิทซัม มาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “ตัดเหลี่ยมเพชร” (H-Bomb) ซึ่งเป็นการยกระดับภาพยนตร์ไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากลอย่างแท้จริง

ผลงานของฉลอง ภักดีวิจิตร เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของเขา เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ไทย

ประวัติ ฉลอง ภักดีวิจิตร สิ้นลมวัย 93 ปี

สิ้นตำนาน ฉลอง ภักดีวิจิตร แต่ผลงานจะคงอยู่นิจนิรันด์

แม้กาลเวลาจะล่วงเลย แต่ไฟแห่งความสร้างสรรค์ในตัวฉลอง ภักดีวิจิตร ไม่เคยมอดดับ เขาเดินหน้าสร้างผลงานละครแอ็คชั่นคุณภาพให้กับช่อง 7 สี ผ่านบริษัท บางกอก ออดิโอ วิชั่น จำกัด ที่เขาก่อตั้งขึ้น ละครอย่าง “ระย้า” และ “อังกอร์ 1” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม พิสูจน์ให้เห็นว่าฉลองยังคงเป็น “เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น” ที่ไม่มีใครเทียบได้

ความสำเร็จของฉลองไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผลงานภาพยนตร์และละครเท่านั้น เขายังได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมาย อาทิ รางวัลเกียรติยศ ปูชนียบุคคลแห่งวงการบันเทิง จากสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2007, รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จ จากงานประกาศผลรางวัลสตั๊นท์แมนยอดเยี่ยมครั้งที่ 1 และรางวัลมณีเมขลาเกียรติยศ บุคคลดีเด่นผู้ทรงคุณค่าในวงการโทรทัศน์ จากงานรางวัลเมขลา ครั้งที่ 24

ในปี พ.ศ. 2556 ฉลองได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้สร้าง-ผู้กำกับภาพยนตร์และละครโทรทัศน์) ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่เขามีต่อวงการบันเทิงไทย

แม้ในช่วงบั้นปลายชีวิต ฉลองยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงาน เขาได้ก่อตั้งบริษัทใหม่ อีนทรีย์ ออดิโอ วิชั่น จำกัด คู่กับภรรยา เมื่อปี 2559 และต่อมาในปี 2561 โกลด์ ซี พี จี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เพื่อสานต่อความฝันในการผลิตผลงานคุณภาพ

ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ฉลองได้รับการบันทึกชื่อลงในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ว่าเป็นผู้กำกับการแสดงที่มีอายุมากที่สุดในโลก เป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จและความทุ่มเทที่เขาได้อุทิศให้กับวงการบันเทิงมาตลอดชีวิต

แม้ในที่สุดร่างกายจะไม่อำนวยให้เขาทำงานเบื้องหน้าได้อีกต่อไป แต่จิตวิญญาณของ “เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น” ยังคงอยู่คู่กับวงการบันเทิงไทย ผลงานของเขาจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลัง และชื่อของฉลอง ภักดีวิจิตร จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์วงการบันเทิงไทยตลอดไป

สายสัมพันธ์แห่งชีวิต ครอบครัวแสนอบอุ่น

เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในโลกภาพยนตร์ ฉลอง ภักดีวิจิตร ยังมีชีวิตส่วนตัวที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความผูกพัน เขาได้พบรักและสร้างครอบครัวกับสุมน ภักดีวิจิตร ในปี พ.ศ. 2509 ทั้งคู่ร่วมสร้างชีวิตคู่และมีบุตรด้วยกันสามคน คือ เฉิด, กัญจน์ และบุญจิรา ภักดีวิจิตร ซึ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพวกเขา

ทว่า ชีวิตคู่ของฉลองและสุมนต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อสุมนจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยโรคมะเร็งตับในปี พ.ศ. 2557 การจากไปของภรรยาอันเป็นที่รักทิ้งไว้ซึ่งความโศกเศร้าอาดูร และเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับฉลองและครอบครัว

อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่ฉลองก็ยังคงเดินหน้าต่อไป เขาได้พบรักครั้งใหม่กับพิมพ์สุภัค อินทรี และทั้งคู่ได้เข้าพิธีแต่งงานในปลายปี พ.ศ. 2557 การเริ่มต้นชีวิตคู่ครั้งใหม่นี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเข้มแข็งและความหวังในชีวิตของฉลอง แม้จะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย

ชีวิตส่วนตัวของฉลอง ภักดีวิจิตร สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งความสุข ความเศร้า และความหวัง เขาเป็นทั้งศิลปินผู้ยิ่งใหญ่และบุคคลธรรมดาที่มีความรักและความผูกพันกับครอบครัว การเดินทางของชีวิตเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย

กระทั่งในวันที่ 13 กันยายน 2567 ฉลอง ภักดีวิจิตร ก็ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยวัย 93 ปี จากอาการป่วย และการรักษาน้ำท่วมปอดก่อนหน้านี้ ทิ้งผลงานภาพยนตร์ขึ้นหิ้งชั้นครูไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และสานต่อเจตจำนงคนทำหนังไทยให้ดำรงสืบไปตราบนานเท่านาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ้างอิง : ฉลอง ภักดีวิจิตร

Thosapol

นักเขียนบทความที่ Thaiger จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เชี่ยวชาญเรื่องบทความท่องเที่ยว บันเทิง ไลฟ์สไตล์ ผ่านการค้นหาข้อมูลโดยละเอียดพร้อมด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง งานอดิเรกมีความสนใจในกระแสข่าวรอบตัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ สังคม การเมือง และที่สำคัญคือเป็นทาสแมวร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ช่องทางติดต่อ thospol@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button