รมว. ดีอี แถลงความคืบหน้า กฎหมายสั่งของออนไลน์ บังคับ ขนส่งต้องเก็บเงินค่าสินค้าไว้ 5 วัน ส่วนผู้สั่งซื้อสามารถปฏิเสธการชำระเงินหากสินค้าไม่ตรงปก
วันนี้ (11 ก.ย. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เผยความคืบหน้า ประกาศ ให้ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ.2567 จะมีผลบังคับใช้วันที่ 3 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป เพื่อแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าหรือบริการออนไลน์แบบใช้บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ตามที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาภายใต้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มีมติเห็นชอบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ว่าด้วย ผู้ประกอบธุรกิจบริการขนส่งสินค้าต้องระบุรายละเอียดสำคัญของผู้ส่งสินค้า และผู้ประกอบการ รวมถึงชื่อ-นามสกุล ของผู้รับเงิน พร้อมกับหมายเลขติดตามพัสดุ โดยข้อบังคับนี้กำหนดให้ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าต้องเก็บเงินค่าสินค้าไว้เป็นระยะเวลา 5 วัน ก่อนจะนำส่งเงินให้กับผู้ขาย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีเวลาเพียงพอในการแจ้งขอคืนสินค้า และขอเงินคืนในกรณีที่พบปัญหาจากการสั่งซื้อ
อีกทั้ง กฎหมายยังให้สิทธิผู้บริโภคในการเปิดดูสินค้าก่อนที่จะทำการชำระเงิน หากตรวจสอบแล้วพบว่า สินค้าไม่ตรงตามที่สั่ง หรือมีปัญหาทางด้านคุณภาพ ผู้บริโภคสามารถปฏิเสธการชำระเงิน และปฏิเสธการรับสินค้าได้ทันที
นอกจากรายงานความคืบหน้าของข้อกฎหมายข้างต้น นายประเสริฐ ยังกล่าวถึงผลงานที่กระทรวงดีอีได้ทำมาตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะเป็นนโยบายในอนาคตของรัฐบาลจากการแถลงต่อสภาแล้วเสร็จ หลัก ๆ ทั้งหมด 4-5 เรื่อง ดังนี้
- การแก้ปัญหาภัยออนไลน์ที่ต้องทำต่อเนื่อง โดยเฉพาะแก๊งคอลเซนเตอร์ พนันออนไลน์ อาชญากรรมออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น
- การใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) จะมีการขับเคลื่อนต่อเนื่อง
- การดูแลส่งเสริม และการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากการค้าอีคอมเมิร์ซ
- การใช้เศรษฐกิจดิจิทัลในการสร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจ
- การพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล เนื่องจากขณะนี้ขาดแคลนกำลังคนในด้านนี้
รวมถึง กระทรวงดีอี จะเริ่มมุ่งนโยบายเรื่องการลดปริมาณกระดาษ ซึ่งการทำงานภายในกระทรวงได้ปรับลดการใช้กระดาษมากขึ้น และปี 2567 ได้งบประมาณมากขึ้นจะเริ่มเปลี่ยนราชการระดับกระทรวง ระดับท้องถิ่นมากขึ้น อีกทั้งได้มีการเริ่มด้านกำลังคนที่ให้มีการเขียนโปรแกรมต่าง ๆ ให้ราชการได้ใช้งานฟรี สิ่งที่จะเดินต่อไปจะยกระดับคนกลุ่มนี้ให้เขียนโค้ดต่าง ๆ ให้กับราชการมากขึ้น โดยเริ่มตั้งกองชั่วคราวขึ้นมาดำเนินการแล้ว
ส่วนเรื่องสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ที่ดูเรื่องพ.ร.บ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) จากอดีตข้อมูลบุคคลรั่วไหล โดยใช้วิธีการสุ่มตรวจ 100% พบโอกาสข้อมูลรั่ว 30-40% ภายหลังจากมี พ.ร.บ.ดังกล่าว ทำให้การตรวจสอบข้อมูล และกำกับดูแลหน่วยงานให้คุ้มครองข้อมูลมากขึ้น ปัจจุบันพบโอกาสรั่วไหลอยู่ที่ 1.21-1.5%
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง