ไขข้องใจ บริจาคร่างกาย ชาติหน้าเกิดมา ‘อวัยวะไม่ครบ’ จริงไหม
ตอบแล้ว ความเชื่อเรื่องการบริจาคร่างกาย อาจทำให้ร่างกายไม่ครบในชาติหน้าจริงหรือไม่ หลังพบคนไทยส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าบริจาคแล้วจะเกิดมาไม่ครบ 32 ในชาติหน้า เช็กบทบัญญัติตามหลักศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และพราหมณ์-ฮินดู ถือว่าเป็นการสร้างเวรกรรมไหม แนะนำขั้นตอนการบริจาคร่างกายผ่านหน่วยงานและโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้อง
บริจาคอวัยวะชาติหน้าจะได้ร่างกายไม่ครบ ‘ไม่จริง’
ความเชื่อที่ว่าการบริจาคร่างกายจะทำให้ร่างกายไม่ครบในชาติหน้า เป็นเพียงมายาคติที่ไร้ซึ่งหลักฐานรองรับ ทั้งในโลกแห่งวิทยาศาสตร์และแม้แต่ในหลักธรรมคำสอนของศาสนาต่าง ๆ การอุทิศร่างกายนี้ แท้จริงแล้วคือการให้ที่ยิ่งใหญ่ เปรียบดั่งแสงเทียนที่จุดสว่างไสวในความมืดมิด มอบโอกาสแห่งการมีชีวิตอยู่ต่อไปให้แก่ผู้ป่วยที่รอคอย หรือเป็นดั่งตำราอันล้ำค่าที่เปิดโลกแห่งความรู้ให้แก่เหล่านักศึกษาแพทย์
การบริจาคร่างกายถือเป็นทานอันประเสริฐในพุทธศาสนา เพราะเป็นการสละสิ่งที่ตนยึดมั่นเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับหลักทาน (ทานมัย) ที่เน้นการให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น การบริจาคร่างกายจึงเป็นบุญกุศลที่ส่งผลดีต่อผู้ให้ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อนุญาตให้บริจาคร่างกายได้ เพราะไม่มีข้อห้ามในคัมภีร์ โดยมีหลักสำคัญคือ “ทาน” (การให้) และ “เสวะ” (การอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น) ซึ่งการทำเสวะถือเป็นหนทางสู่การหลุดพ้น เดิมทีแนวคิดเสวะหมายถึงการบูชาพระเจ้า แต่ปัจจุบันได้ขยายความหมายครอบคลุมถึงการเสียสละเพื่อผู้อื่นด้วย
ศาสนาคริสต์ เห็นว่าการบริจาคร่างกายเป็นการแสดงออกถึงความรักและการเสียสละต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับหลัก “อกาเป้” (Agape) อกาเป้คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่พระเจ้ามีต่อโลก เป็นความรักที่เสียสละและให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้กระทั่งกับศัตรู การบริจาคร่างกายจึงเป็นการแสดงออกถึงความรักในแบบอกาเป้ ที่มุ่งให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์สูงสุด
ชาวมุสลิมไม่สามารถบริจาคร่างกายได้ เนื่องจากศาสนากำหนดให้ต้องทำพิธีฝังศพอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมงหลังเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ส่วนการบริจาคเลือดนั้นอนุญาตให้ทำได้ หากเป็นไปเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นและไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค
เมื่อเราเสียชีวิต ร่างกายของเราจะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป การบริจาคร่างกายจึงเป็นการใช้ประโยชน์จากร่างกายที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ดั้งนั้นการบริจาคร่างกายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเกิดใหม่หรือภพหน้าตามความเชื่อทางศาสนาใด ๆ
การบริจาคร่างกายเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่า ไม่ควรกังวลเรื่องความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ควรให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสร้างบุญกุศลให้กับตนเองมากกว่า
ความสำคัญของการบริจาคร่างกาย
ผู้เสียสละร่างกายตนเองหลังจากเสียชีวิตแล้ว ให้เป็น “อาจารย์ใหญ่” ถือว่าท่านเป็นผู้ให้ “ชีวิต” เป็นทาน อันเป็นมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ กล่าวคือ อาจารย์ใหญ่ทุกท่านจะถูก
ใช้เพื่อการศึกษาของนักศึกษาแพทย์ และแพทย์เฉพาะทาง ได้ฝึกอบรมหัตถการต่าง ๆ จนเกิดทักษะและความชำนาญ อีกทั้งยังเพื่อการสร้างผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
การแพทย์ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า “อาจารย์ใหญ่” มีความสำคัญยิ่งต่อวงการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศอย่างยิ่ง สามารถสรุปการใช้ประโยชน์จากร่างอาจารย์ใหญ่ ดังนี้
1. เพื่อการศึกษาของนักศึกษาแพทย์ แพทย์ประจำบ้าน และนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพอื่น ๆ
2. เพื่อฝึกทักษะการหัตถการต่าง ๆ ให้แพทย์เฉพาะทาง ให้เกิดเชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ
3. เพื่อสร้างผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพประชาชน
4. เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ แก่ประชาชน และผู้สนใจทั่วไป
เกณฑ์การบริจาคร่างกาย
1. ต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น (อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์) กรณีที่อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ต้องได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ปกครอง
2. มีน้ำหนักตั้งแต่ 40 กิโลกรัม และไม่เกิน 100 กิโลกรัม
3. ไม่เป็นโรคติดต่อ เช่น โรคเอดส์ วัณโรค โรคเรื้อน โรคไวรัสตับอักเสบบี โควิด-19 และโรคติดต่อร้ายแรงอื่น ๆ
4. ต้องมีร่างกายสมบูรณ์ ไม่มีความพิการของแขน ขา และอื่น ๆ (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ)
ขั้นตอนการบริจาคร่างกาย
1. กรอกแบบฟอร์มแสดงความจำนง คุณสามารถขอรับแบบฟอร์มได้จากหน่วยงานที่รับบริจาค หรือดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้น ๆ
2.ส่งแบบฟอร์ม นำแบบฟอร์มที่กรอกข้อมูลครบถ้วนไปยื่นที่หน่วยงานที่คุณต้องการบริจาค หรือส่งทางไปรษณีย์
3.รับบัตรประจำตัวผู้บริจาคร่างกาย เมื่อหน่วยงานได้รับแบบฟอร์มและตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว คุณจะได้รับบัตรประจำตัวผู้บริจาคร่างกาย
4.แจ้งญาติและคนใกล้ชิด แจ้งให้ครอบครัวและคนใกล้ชิดทราบถึงความตั้งใจของคุณ เพื่อให้พวกเขาสามารถดำเนินการตามความประสงค์ของคุณได้เมื่อคุณเสียชีวิต
หากคุณสนใจที่จะบริจาคร่างกาย สามารถติดต่อได้ที่
- ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย โทร. 0 2256 4300
- ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทร. 0 2256 4370-1
- ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0 2419 7678-9
- สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โทร. 02 8936572 และ 02 8396573
อ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี , organdonation , actschurchcm.com , ich.culture.go.th
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- ทำบุญด้วย 5 ของถวาย “วันเข้าพรรษา” เสริมบุญปัง ชีวิตดี๊ดี
- ‘ถวายเทียนพรรษา’ วันไหน ทำบุญแสงสว่าง จุดไฟนำทางให้ชีวิต
- ‘เบญ เรวิญานันท์’ เพิ่งรู้ ทำบุญ 100 วัน พ่อเสีย ต้องยกบ้านให้วัด เป็นพิธีเหนือแต่โบราณ