สุขภาพและการแพทย์

ยาดองไทย ภูมิปัญญาโบราณ ตำรับสมุนไพรกว่า 242 ชนิด

เปิดประวัติ “ยาดองไทย” จากภูมิปัญญาโบราณสู่ความนิยมในปัจจุบัน ตำรับลับแพทย์ไทยจากสมุนไพรหายาก พร้อมแนะนำวิธีการใช้ให้ถูกต้องไม่ทำลายสุขภาพ

สำหรับประวัติของ ยาดองสมุนไพร (Pickled Medicine) เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษไทยที่มีมาช้านาน กลายเป็นที่กล่าวถึงอีกครั้งหลังจากเกิดเหตุการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับ “ยาดองมรณะ” หรือ “ยาดองมีนบุรี” ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยในกรุงเทพมหานคร

Advertisements

ดังนั้น ทีมงาน เดอะ ไทยเกอร์ จึงได้ตระหนักถึงความสำคัญในการศึกษาตำรับยาสมุนไพรไทยประเภทนี้อีกครั้ง เพื่อที่เราจะสามารถนำยาดองมาประยุกต์ใช้เพื่อการแพทย์และสุขภาพได้ พร้อมกับหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้หรือปรุงยาดองผิดวิธีนั่นเอง

“ยาดอง” ตำรับสุขภาพชาวไทยโบราณ

ในแดนดินถิ่นล้านนาหรือพื้นที่ประเทศไทยในปัจจุบันมีภูมิปัญญาท้องถิ่นอันล้ำค่าที่สืบทอดมาแต่โบราณ หนึ่งในนั้นคือ “ยาดองเหล้า” สมุนไพรพื้นบ้านที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในหมู่ชาวชนบทภาคเหนือ จนเกิดเป็นร้านขายยาดองเหล้าที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน

ยาดองเหล้าเป็นภูมิปัญญาที่ผสมผสานสรรพคุณของสมุนไพรเข้ากับแอลกอฮอล์ เพื่อสกัดตัวยาและเก็บรักษาคุณสมบัติทางยาไว้ได้นาน หรือก็คือการสมุนไพรมาแช่ในน้ำสุรา วิธีนี้ช่วยสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรและช่วยเก็บรักษาสมุนไพรให้ได้นานขึ้น

นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารสำคัญได้เร็วขึ้น ยาดองมักใช้สมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย และบำรุงโลหิต บางตำรับยังใช้เพื่อบำรุงกำหนัดอีกด้วย

ส่วนใหญ่มีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว อันเป็นที่ต้องการของผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้ยังมีตำรับที่ใช้บำรุงโลหิตสำหรับสตรีหลังคลอด รักษาอาการอัมพาตและเหน็บชา รวมไปถึงการเป็นยาบำรุงกำหนัดที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชาย

Advertisements

อย่างไรก็ตาม ความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้กลับนำมาซึ่งปัญหาการเก็บเกี่ยวสมุนไพรอย่างไม่ถูกวิธี เช่น การขุดรากถอนโคน หรือตัดเอาเพียงส่วนโคนต้นของเถาวัลย์ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของพืชสมุนไพรบางชนิดในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ ทีมนักวิจัยนำโดย สันติ วัฒฐานะ จากสำนักวิชาการ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ริเริ่มโครงการวิจัย “การศึกษาพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาดองเหล้าในภาคเหนือของไทย” โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (BRT)

สมุนไพรสำหรับทำ “ยาดอง”

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์สถาบันการแพทย์แผนไทย ระบุว่า ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลใน 6 จังหวัดภาคเหนือ รวม 17 อำเภอ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2539 ถึงตุลาคม 2540 โดยสัมภาษณ์หมอยาพื้นบ้าน รวบรวมตำรายาล้านนา และเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชสมุนไพร ผลการวิจัยพบสูตรตำรับยาดองถึง 91 สูตร และพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนประกอบมากถึง 242 ชนิด ในจำนวนนี้ มีพืชสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้ทำยาดองเหล้าหลายชนิด เช่น

จะค้าน

  • จะค้ำน (Piper sp.) “จะค้าน” พืชที่มีสรรพคุณเป็นยาธาตุ กระจายตัวอยู่ตามป่าดงดิบและป่าดิบเขา มีสรรพคุณเป็นยาธาตุ

ฝาง

  • ฝำง (Caesalpinia sappan) พืชที่พบได้ทั่วไปในป่าผลัดใบและป่าหินปูน มีแก่นที่ใช้บำรุงโลหิตและขับเสมหะ

ปิดปิวแดง

  • ปิดปิวแดง (Plumbagoindica) แม้จะมีถิ่นกำเนิดในอินเดีย แต่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสวนสมุนไพรไทย ให้รากที่ช่วยขับประจำเดือนและบำรุงธาตุไฟ

กำลังเสือโคร่ง

  • กำลังเสือโคร่ง (Betula alnoides) สามารถพบได้บนพื้นที่สูง 800-1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ให้เปลือกที่ใช้บำรุงธาตุและกำลัง

มะเขือแจ้เครือ

  • มะเขือแจ้เครือ (Securidaca inappendiculata) พบตั้งแต่อินเดียตอนเหนือถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามป่าริมธารน้ าที่ระดับความสูง 200-700 เมตรของไทย ทั้งต้นของพืชชนิดนี้ใช้ต้ม หรือดองเหล้าเป็นยาแก้ปวดหลังบั้นเอว

รางแดง

  • รางแดง (Ventilago denticulata) เถาไม้ที่ช่วยแก้กระษัยและเข้ายาอายุวัฒนะ พบได้ตามป่าชื้นริมลำธาร

พริกไทย

  • พริกไทย (Piper nigrum) พืชที่ช่วยขับลมและบำรุงธาตุ และ “ดีปลี” ที่ช่วยเจริญอาหารและแก้อาการทางระบบประสาท

ฮ่อสะพานควาย

  • ฮ่อสะพำนควำย (Reissanithia grahamii) พบในอินเดีย พม่า มาเลเซีย และตามป่าดิบริมน้ าในประเทศไทย เถาใช้ดองเหล้าดื่มบ ารุงก าลัง แก้ปวดเมื่อย

กำลังช้างเผือก

  • กำลังช้ำงเผือก (Hiptage bengalensis var. candicans) พบกระจายพันธุ์ในอินเดีย จีน มาเลเซีย และพบ ตามป่าผลัดใบที่ระดับความสูง 300-900 เมตร ทั่วทุกภาค (ยกเว้นภาคใต้) ของไทย แก่นของพืชชนิดนี้มีสรรพคุณบำรุง กำหนัด เป็นยาอายุวัฒนะ เจริญอาหาร แก้อ่อนเพลีย ขับลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ

ดีปลี

  • ดีปลี (Piper retrofrctum) มีถิ่นก าเนิดที่เกาะโมลัคคาส ในมหาสมุทรอินเดีย และสามารถปลูกขึ้นได้ดีทั่วไป
    ในเอเชียเขตร้อนชื้น เถาของพืชชนิดนี้แก้ลมช่วยเจริญอาหาร ดอกใช้ปรุงเป็นยาธาตุ ส่วนรากใช้แก้เส้นอัมพฤกษ์ และอัมพาต

จะค้านแดง

  • จะค้ำนแดง (Piper sp.) พบตามป่าชื้นในภาคเหนือ มีสรรพคุณบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง

โด่ไม่รู้ล้ม

  • โด่ไม่รู้ล้ม (Elephantopus scaber) พบทั่วไปตามทุ่งหญ้า ชายป่าและป่าละเมาะ ตลอดล าต้นของโด่ไม่รู้ล้ม มีสรรพคุณแก้เหน็บชา บำรุงหัวใจ บำรุงกำหนัด ขับน้ำเหลืองเสียเป็นยาบำรุงหลังคลอด

เปล้าใหญ่

  • เปล้ำใหญ่ (Croton oblongifolius) พบกระจายในอินเดียจนถึงอินโดจีน ตามป่าเต็งรัง และป่าผลัดใบทั่วไป ในประเทศไทย ต้นของเปล้าใหญ่ใช้ต้มดื่ม แก้ปวดเมื่อย ใบมีสรรพคุณบ ารุงธาตุ ผลใช้ดองสุราดื่มขับเลือดหลังคลอด เปลือกต้น และกระพี้เป็นยาช่วยย่อยอาหาร เหลือต้นและใบสามารถบ ารุงโลหิต เป็นต้น

ม้าแม่กลำ

  • ม้ำแม่กล่ำ (Polygala chinensis) กระจายในเอเชียเขตร้อนชื้น โดยพบทั่วไปตามป่าดงดิบ หรือป่าเบญจพรรณ ที่ค่อนข้างชื้น ทั้งต้นของมันใช้ดองเหล้าดื่มแก้ปวดหลังปวดเอว

มะเขือแจ้ป่าแพะ

  • มะเขือแจ้ป่ำแพะ (Polygala crotalarioides) พบตามป่าผลัดใบในภาคเหนือของประเทศไทย มีสรรพคุณเป็น
    ยาบ ารุงก าลัง

มะเขือแจ้

  • มะเขือแจ้ (Solanum aculetissima) เป็นพืชปลูกทั่วไป มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำหนัด

หัสคืน

  • หัสคืน (Croton birmanicus) ปลูกในพม่า และภาคเหนือของประเทศไทย ใบของพืชชนิดนี้ช่วยแก้เหน็บชา

ลมแล้ง

  • ลมแล้ง (Cassia fistula) พบกระจายตามป่าผลัดใบในประเทศไทย ฝักของลมแล้งช่วยแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ส่วนรากใช้เป็นยาบ ารุงก าลัง

เขืองแข้งม้า

  • เขืองแข้งม้ำ (Leea indica) พบกระจายในอินเดีย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย และตามป่าโปร่งค่อนข้างชื้น ทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ระดับความสูง 500 -1000 เมตร ในประเทศไทย รากของพืชชนิดนี้แก้ปวดเมื่อย ตามร่างกายและช่วยขับลม

จุ่งจาลิง

  • จุ่งจำลิง (Tinospora crispa) พบตั้งแต่อินเดีย จีน จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปลูกเป็นพืชสมุนไพรตามบ้าน และพบตามป่า และป่าผลัดใบของไทย เถาและล าต้นช่วยขับเหงื่อ บ ารุงก าลัง และช่วยเจริญอาหาร

ขี้เหล็ก

  • ขี้เหล็ก (Cassia siamea) พบทั่วไปในเขตเส้นศูนย์สูตร นิยมปลูกเป็นไม้ให้ร่มริมทาง รากของขี้เหล็กช่วยให้ เจริญธาตุไฟ แก้เหน็บชา บ ารุงธาตุ เปลือกช่วยแก้กระษัย แก่นใช้แก้ธาตุพิการ แก้เส้น แก้กระษัยบำรุงโลหิต และใบ
    ช่วยเจริญอาหาร

สีเสื้อน้อย

  • สีเสื้อน้อย (Vitex trifolia) นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ และยาสมุนไพรทั่วไป รากมีสรรพคุณในการบ ารุงธาตุ แก้ปวดตามข้อ ใบใช้บ ารุงน้ าดี แก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อ เมล็ดช่วยให้เจริญอาหาร

ทั้งนี้ สมุนไพรแต่ละชนิดล้วนมีสรรพคุณเฉพาะตัวที่ช่วยเสริมฤทธิ์ของยาดองเหล้า

ม้ากระทืบโรง หนึ่งในสมุนไพรทำยาดองไทย
ภาพจาก : สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์กรมหาชน) The Golden Jubilee Museum of Agriculture Office (Public Organization)

ม้ากระทืบโรง สมุนไพรมหัศจรรย์แห่งป่าเมืองไทย

หากจะเข้าสู่วงการยาดองก็ต้องทำความรู้จักกับ ม้ากระทืบโรง พืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ficus foveolata Wall อยู่ในวงศ์ MORACEAE

ม้ากระทืบโรงมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น บ้างเรียกว่า เดื่อเครือ ม้าทะลายโรง ม้าคอกแตก หรือมันฤๅษี สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของม้ากระทืบโรงนั้นน่าสนใจไม่แพ้ชื่อ มันเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยที่สามารถเติบโตสูงได้ถึง 25 เมตร เกาะเกี่ยวไปตามต้นไม้อื่นๆ ด้วยน้ำยางขาวที่มีอยู่ในลำต้น ใบของมันมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ มีรูปร่างหลากหลายตั้งแต่รูปใบหอก รูปไข่ ไปจนถึงรูปขอบขนานแกมวงรี ขนาดใบกว้างประมาณ 7-9 เซนติเมตร และยาว 12-18 เซนติเมตร

เปลือกของม้ากระทืบโรงมีสีน้ำตาล และมีลักษณะพิเศษคือมีปุ่มขึ้นคล้ายหนาม ส่วนดอกนั้นออกเป็นช่อ มีลักษณะทรงกลมคล้ายผล แยกเพศแต่อยู่ในช่อเดียวกัน ผลสุกมีสีแดงภายใน

การขยายพันธุ์ม้ากระทืบโรงทำได้ง่าย ๆ ด้วยการตัดเถายาวประมาณหนึ่งคืบแล้วนำไปปักชำ ทำให้พืชชนิดนี้สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วในธรรมชาติ

สิ่งที่ทำให้ม้ากระทืบโรงโดดเด่นคือสรรพคุณทางยาตามตำรายาไทยโบราณ ทุกส่วนของพืชนี้ล้วนมีประโยชน์ เถาใช้บำรุงกำลัง ต้นช่วยบำรุงร่างกายและความกำหนัด อีกทั้งยังช่วยขับน้ำย่อย เนื้อไม้ใช้แก้อาการปวดหลังและปวดหัว

ทั้งต้นของม้ากระทืบโรงมีสรรพคุณในการบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ประดงเลือดที่ทำให้เกิดจุดห้อเลือดหรือตุ่มตามผิวหนัง นอกจากนี้ยังช่วยแก้ประดงลม แก้น้ำเหลืองเสีย ช่วยย่อยอาหาร และทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น

ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย (อีสาน) มีการใช้ลำต้นม้ากระทืบโรงผสมกับลำต้นคุย นำมาต้มน้ำดื่มเพื่อบำรุงกำลัง เชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ และยังช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนโลหิตอีกด้วย

ม้ากระทืบโรงจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยในการใช้ประโยชน์จากพืชพรรณธรรมชาติ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการสืบทอดองค์ความรู้ด้านสมุนไพรไทย เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต

นอกจากการรวบรวมข้อมูล ทีมวิจัยยังได้นำต้นกล้าตัวอย่างพืชสมุนไพรจำนวน 70 ชนิด มาทดลองปลูกและขยายพันธุ์ในสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เพื่อเป็นแหล่งอนุรักษ์และศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคต

การศึกษาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบันทึกภูมิปัญญาท้องถิ่นอันล้ำค่าเกี่ยวกับยาดองเหล้าเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการอนุรักษ์พันธุ์พืชสมุนไพรที่กำลังถูกคุกคาม เพื่อให้ความรู้และประโยชน์จากยาดองเหล้าสามารถสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลังได้อย่างยั่งยืน

วิธีการใช้ยาดองอย่างถูกต้อง

ควรบริโภคยาดองไม่เกิน 30 มิลลิลิตรต่อครั้ง และไม่เกินวันละ 2 ครั้ง ยาดองสามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน 1-2 ปี ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์แผนไทยหรือผู้เชี่ยวชาญ

กรรมวิธีการดองยา

  1. เตรียมสมุนไพรให้แห้ง สะอาด และหั่นให้ได้ขนาดพอเหมาะ
  2. นำสมุนไพรใส่ในภาชนะและเติมสุราให้ท่วม
  3. หมักทิ้งไว้ 15-30 วัน โดยคอยคนและเติมสุราให้ท่วมยาเสมอ

หมายเหตุ : การปรุงยาดองจะต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีเอกสารใบประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทยเท่านั้น

ข้อควรระวังและข้อห้าม

  1. ห้ามดื่มในปริมาณมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดโรคตับแข็งและพิษสุราเรื้อรัง
  2. ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคตับ หญิงมีครรภ์ และผู้ที่แพ้แอลกอฮอล์
  3. หญิงที่ให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทารก

วิธีสังเกตยาดองปลอม

  1. สังเกตสีและกลิ่นที่ผิดปกติ
  2. ระวังยาดองที่มีราคาถูกผิดปกติ
  3. ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น
  4. สังเกตฉลากและข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์

ยาดองตราเสือ 11 ตัว

ปัจจุบันอาจไม่ค่อยเห็นคนไทยรับประทานยาดอง ส่วนมากก็จะเป็นผู้สูงอายุที่เติบโตมากับวัฒนธรรมยาดองที่เฟื่องฟูในอดีต กับคนไทยยุคใหม่ที่ให้ความสนใจเครื่องดื่มทรงภูมิปัญญาชนิดนี้ โดยหนึ่งในยาดองซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ ยาดองเหล้าตราเสือ 11 ตัว เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต ช่วยเจริญอาหาร แก้กษัย ปวดเมื่อยตามร่างกาย สตรีประจำเดือนไม่ปกติ คลอดบุตรอยู่ไฟไม่ได้ ใช้ได้ทั้งหญิงและชาย

ยาดองตราเสือ 11 ตัว ประกอบด้วย กำลังเสือโคร่ง โด่ไม่รู้ล้ม กระชายดำ โสมเกาหลี ระย่อม โต่งต้ง กำลังวัวเถลิง โกฐเชียง ตานเซียม และตัวยาอื่น ๆ ยา 1 แผ่น แผ่นละ 20 กรัม ดองกับสุรา 1-2 ขวด ก่อนดองทุบให้แตกละเอียด ใส่ลงภาชนะ แช่ไว้ 1 หรือ 2 คืน แล้วรินออกรับประทานก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 4-5 ช้อนโต๊ะ

แม้ว่ายาดองสมุนไพรเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีคุณค่า แต่ต้องใช้อย่างถูกต้องและระมัดระวัง การบริโภคยาดองควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ และควรตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผิดวิธีหรือการบริโภคยาดองปลอม การรู้จักเลือกซื้อและใช้ยาดองอย่างถูกต้องจะช่วยให้เราได้รับประโยชน์จากภูมิปัญญาดั้งเดิมนี้อย่างปลอดภัย

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ้างอิง : สถาบันการแพทย์แผนไทย

Thosapol

นักเขียนบทความที่ Thaiger จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เชี่ยวชาญเรื่องบทความท่องเที่ยว บันเทิง ไลฟ์สไตล์ ผ่านการค้นหาข้อมูลโดยละเอียดพร้อมด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง งานอดิเรกมีความสนใจในกระแสข่าวรอบตัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ สังคม การเมือง และที่สำคัญคือเป็นทาสแมวร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ช่องทางติดต่อ thospol@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button