เปิดบทสัมภาษณ์ น้องเทนนิส นักเทควันโดหญิง ดีกรีเหรียญทองโอลิมปิก 2 ปีซ้อน เล่าเบื้องหลังความสำเร็จทั้งน้ำตา มาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จากเด็ก 9 ขวบ ลงแข่งที่ภูเก็ต ไปโอลิมปิกครั้งแรก กระทั่งวันอำลา ปิดตำนานจอมเตะดีที่สุดแห่งยุค
“เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดหญิง อายุ 27 ปี ที่เพิ่งจารึกประวัติศาสตร์เป็นคนไทยคนแรกที่คว้าเหรียญรางวัลจากโอลิมปิกเกมส์ ได้ถึง 3 สมัย เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ “Made My Day วันนี้ดีที่สุด” ทางช่องไทยพีบีเอส ถึงเส้นทางชีวิตจอมเตะที่กว่าจะมาถึงวันนี้
เทปพูดคุยดังกล่าว ออกอากาศช่วงมี.ค. 2567 ก่อนที่ทัวร์นาเมนต์โอลิมปิกที่กรุงปารีสของฝรั่งเศสจะเปิดฉาก โดยนักเทควันหนึ่งในตัวแทนทีมชาติไทย เล่าถึงชีวิตตั้งแต่ไปลงแข่งเทควันโดรายการเล็ก ๆ ที่ภูเก็ต ประสบการณ์โอลิมปิกครั้งแรก และเรื่องความเป็นอยู่ในฐานะนักกีฬาอาชีพ ซึ่งทั้งหมดมีทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา และความภูมิใจที่ทั้งหวานอมขมกลืน อยู่ในร่างของจอมเตะสาวแกร่งจากสุราษฎร์ธานีผู้นี้
เทนนิส ย้อนให้ฟังว่าตอนแรกเธอแค่ตามพี่ชายไปเล่นเพราะอยากออกกำลังกาย ทว่าบังเอิญได้ไปแข่งในงานหนึ่งเพราะอยากไปเที่ยว และในวันนั้นต้องแพ้คู่ต่อสู้ราบคาบ ซึ่งจุดนี้เองที่ทให้กลับมานั่งคิด กระทั่งตัดสินใจก้าวเข้าสู่เส้นทางนักกีฬาเต็มตัว
“เริ่มจากพี่ชายเป็นคนเริ่มเล่นก่อน หนูก็เลยตามพี่ไปเล่น”
“ตอนนั้นกลัวมาก เพราะเทควันโดดูเป็นกีฬาที่รุนแรง มีเตะกัน หนูเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผอมแห้ง ก็แค่ตามพี่ไปออกกำลังกาย ไม่เคยคิดจะเข้าคู่เตะกันเหมือนที่ทุกคนเห็นหนูตอนไปแข่งเลยค่ะ”
“ได้เริ่มแข่งเพราะมีงานที่ภูเก็ต แล้วอยากไปเที่ยวมาก ๆ เลยบอกพ่อว่าพาไปเชียร์เพื่อนหน่อย”
“พ่อบอกงั้นต้องลงแข่งนะ เรากลัวมากแต่ก็ยอม เพราะอยากไปเที่ยว หนูก็เลยลงแข่งเทควันโดในวันนั้น และเป็นจุดเริ่มต้นนักกีฬาเทควันโดด้วยค่ะ ตอนนั้นแพ้ราบคาบคะแนนห่างมากจนกรรมการให้แพ้ เราก็เสียใจมาก ๆ ที่ไม่ได้เตรียมตัวไปแข่ง”
“หนูกลับมาทบทวนตัวเองแล้วบอกพ่อว่าอยากกลับไปชนะคนนั้น มันเป็นการแพ้ที่ฝังใจ เลยตัดสินใจอยากเป็นนักกีฬา คือหนูเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้แล้วก็ไม่ชอบแพ้ด้วยค่ะ วันนั้นหนูก็บอกตัวเองว่าจะสู้ ต้องกลับไปชนะเพื่อนให้ได้”
“เทนนิส” ยังพูดถึงชีวิตหลังจากได้เป็นนักกีฬาทีมชาติ และเป็นตัวแทนไปแข่งโอลิมปิก ซึ่งประสบการณ์จากทัวร์นาเมนต์แรก ก็ทำให้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง จนในที่สุด ความมุ่งมั่นที่จะกลับไปคว้าเหรียญทองก็สัมฤทธิ์ผล
“หนูใช้เวลาประมาณ 4 ปีในการไต่เต้าขึ้นมาติดทีมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่นานมาก ๆ”
“โอลิมปิกครั้งแรกตอนอายุ 19 ความยากของตอนนั้นคือหนูต้องคัดกับทีมชาติไทยด้วยกันเอง เราซ้อมด้วยกันมา เหนื่อยด้วยกัน มันเป็นความท้าทาย แล้วก็ไม่อยากเตะด้วยกันแต่ต้องเตะ เพื่อเอาตั๋วไปโอลิมปิกค่ะ”
“สุดท้ายหนูก็บอกตัวเองว่าต้องทำให้เต็มที่ เพราะเป็นตัวแทนทีมชาติไทยแล้ว แต่ตอนไปแข่งก็เป็นความเสียใจค่ะ เพราะแพ้ในช่วงไม่กี่วินาทีสุดท้าย เป็นจังหวะที่เรามีคะแนนนำอยู่ 1 คะแนน แต่ด้วยประสบการณ์ ทำให้คิดไม่ทัน ออกอาวุธในท่าที่ไม่ควรจะทำ ก็เลยโดนเขาสวนกลับเตะที่ศีรษะหนูเลยแพ้ไป”
“โอลิมปิกครั้งที่ 2 เป็นความตื่นเต้นว่าจะจัดหรือไม่จัดเพราะเป็นช่วงโควิด ตอนนั้นคิดว่าถ้ายกเลิกจะทำยังไงเพราะเรารอมาทั้งชีวิตเพื่อที่จะกลับไปแก้ไข”
“ตอนนั้นที่แคมป์ก็โดนปิด หนูต้องกลับบ้านไปซ้อมเองไม่รู้จะได้แข่งไหม สุดท้ายก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ว่าจะจัดหรื้อไม่จัดเราก็ควรจะเตรียมตัวให้พร้อมก่อน หนูก็เลยลุกไปซ้อมไปวิ่งแล้วบอกตัวเองว่าทำให้ดีที่สุดก่อนแล้วกัน”
“ตอนแข่งหนูไม่ลนเลย นิ่งสยบทุกอย่าง หนูคิดว่าเพราะซ้อมมาอย่างดีทุกโมเมนต์เลย ไม่ว่าจะคะแนนนำหรือคะแนนตาม ทุกสถานการณ์เราถูกฝึกซ้อมมาหมดแล้ว”
“สำหรับหนูในการแข่งขันทุกครั้งหนูตั้งเป้าหมายไว้เลย เหรียญทองอยู่ตรงนี้ หนูพยายามจะก้าวไปหามันให้ได้ หนูไม่เคยคิเว่าไปเพื่อเข้าร่วม หรือหาประสบการณ์ ไม่อยากได้แค่เหรียญใดเหรียญหนึ่ง หนูอยากได้เหรียญทอง จะทำทุกทางเพื่อให้ไปคว้ามันให้ได้ค่ะ”
เมื่อถูกพิธีกรถามถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก เคยเกิดความรู้สึกท้อบ้างไหม เทนนิสก็ตามอย่างตรงไปตรงมาว่ามีบ่อยครั้งที่เธอรู้สึกหมดกำลังใจ ไม่อยากไปต่อ และอยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไปคนอื่น แต่ทุกคนรอบข้าง ทั้งครอบครัว โค้ช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็ช่วยซัพพอร์ตทุกอย่าง จนทำให้เทนนิสกลับมาสู้อีกครั้ง
“ก็บ่อยนะคะ เพราะเทควันโดเป็นกีฬาที่ต่อสู้ คือมันเจ็บมาก ๆ ทุกคนอาจจะคิดว่าแค่เตะ ๆ กัน แต่หนูซ้อมทุกวันแล้วก็เตะกับผู้ชาย โดนเตะทุกวันเลยค่ะ แต่หนูชอบความท้าทาย เตะเราหรอ เราก็เตะนายนะ พอเราเจ็บเราก็ต้องสู้”
“ผ่านความเหนื่อยมาตั้งแต่เด็กหนูไม่เคยได้เบรกสักครั้ง มีช่วงที่หนูอยากออกไปใช้ชีวิต แต่ทุกคนก็บอกว่าหนูยังทำได้ดีอยู่นะ ทุกคนอยากให้ไปต่อที่โอลิมปิกปารีส หนูก็บอกตัวเองว่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่ตัวเราแล้ว แต่อยากสร้างประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้ในประเทศไทยด้วย วันที่หนูจากไปมันจะยังอยู่ว่า 2 เหรียญทองโอลิมปิกนะ”
“แต่หนูก็ไม่ได้กดดันตัวเองขนาดนั้นว่าถ้าไม่ได้จะเป็นอะไร ทุกครั้งที่ลงแข่งหนูบอกตัวเองว่าเต็มที่ ถ้าแพ้ก็เต็มที่แล้ว 10 ปีข้างหน้าหนูมองย้อนกลับมา ก็บอกลูกหนูได้ว่าแม่เต็มที่แล้ว”
“เต็มที่ของหนูคือไม่เอาอะไรเลย ให้ไปเที่ยวกับเพื่อนหนูไม่ไป เดินตรงไปหาปลายทางที่วางไว้ ข้างทางจะมีอะไรหนูรู้ว่ามันมีความสุขมันสวยงาม แต่อีกแค่ไม่กี่เดือนข้างหน้าเอง หนูขอทำสุดความสามารถเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้”
“ใจหนูก็อ่อนแอ มีท้อเป็นประจำแต่มีตัวช่วยที่ดีมีคนรับฟัง คือนักจิตวิทยาสำหรับนักกีฬาเลย เขาจะช่วยปรับความคิด ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับการไม่ตรงไปข้างหน้าของหนู ก็จะมีการคุยกัน แล้วก็มีครอบครัวมีเพื่อนที่คอยตบให้กลับมาที่เดิม”
“มีหลายองค์ประกอบที่จะทำให้หนูไปถึงตรงนั้น โค้ชคอยผลักดัน สร้างแรงกระตุ้น ยกระดับเราขึ้นมา ถ้าเราบอกทำไม่ได้ โค้ชก็จะบอกว่าทำได้แน่นอน สมาคมก็คอยดูแลเรื่องต่าง ๆ ครอบครัวก็คอยซัพพอร์ตให้กำลังใจ นักโภชนาการคอยจัดตารางอาหาร นักจิตวิทยาก็สู้กับจิตใจหนูอยู่ ทุกคนสู้เพื่อหนูเพราะฉะนั้นเราก็ต้องสู้ด้วยเหมือนกัน”
ช่วงท้าย เทนนิสพูดถึงสิ่งที่ต้องเสียสละเพื่อโอลิมปิกครั้งสุดท้ายทั้งน้ำตา ยอมรับ “ร่างกายนี้พังไปทั้งตัวแล้ว” ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่านักเทควันโดหญิงอันดับ 1 ของโลกคนนี้ ได้อุทิศทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อการแข่งขันครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตอย่างถึงที่สุดแล้ว
“ตอนแรกหนูเล่นเทควันโดแค่อยากให้ร่างกายแข็งแรงเพราะป่วยง่าย แต่พอวันหนึ่งมันสามารถเปลี่ยนครอบครัวหนูได้ ปกติพ่อจะเลี้ยงคนเดียว แม่หนูเสียไปตั้งแต่ 7 ขวบ บ้านเราไม่ได้ร่ำรวย พอหนูได้ทีมชาติก็มีเงินให้พ่อใช้ มันทำให้ครอบครัวหนูสบายขึ้น”
“สิ่งที่เสียสละจริง ๆ คงเป็นร่างกาย ร่างกายนี้มันพังไปทั้งตัวแล้ว อย่างที่ทุกคนเห็นว่ามันเป็นกีฬาต่อสู้ เอ็นก็ขาดไปแล้ว ลูกสะบ้าก็พังหมดแล้ว สะโพกก็หลวม สมมุติว่าหนูฉีกขาเยอะ ๆ ต้องใช้เวลาเป็น 10 นาทีกว่าจะหุบขาได้ หนูเสียสละทั้งร่างกายนี้ไปหมดแล้ว แต่หนูก็คิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่หนูจะยอมแลก”
“มันเหนื่อยมาก ๆ แต่หนูก็รู้สึกว่าความเหนื่อยครั้งนี้มันทำให้พ่อมีความสุข คนไทยทั้งประเทศมีความสุข แล้วตัวหนูเองก็มีความสุขด้วย”
จากเด็กน้อย 9 ขวบ ที่ไปแข่งเทควันโดครั้งแรกในรายการเล็ก ๆ ที่ภูเก็ต อายุ 19 ไปแข่งโอลิมปิกครั้งแรก ก่อนที่ปัจจุบัน ในวัย 27 ปีที่เพิ่งฉลองวันคล้ายวันเกิดไปเมื่อ 8 ส.ค. วันเดียวกับที่ซิวเหรียญทองประวัติศาตร์ จะถูกยกให้เป็นนักเทควันโดที่ดีสุดของยุค ทั้งที่ในบ้านเกิดและที่โลกเคยมีมา.
อ้างอิง : Thai PBS
ภาพ : Thai PBS, ig @panipak2540
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “เทนนิส” สุดปลื้ม เพจทางการแมนยู โพสยินดีกับหลังคว้าเหรียญทองโอลิมปิก
- (มีคลิป) ส่องชีวิต 1 วันของ “เทนนิส พานิภัค” ก่อนสร้างประวัติศาสตร์ คว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัยติด
- เปิดยอดเงินรางวัล “เทนนิส” หลังคว้าเหรียญทอง เทควันโด โอลิมปิก 2024