ท่องเที่ยวอีเว้นท์

เที่ยว 5 ย่านเก่าในกรุงเทพ เล่าเรื่องราว Hidden gem ที่คนสมัยใหม่อาจไม่เคยรู้

กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยสีสัน ตลอดทั้งกลางวันจนย่ำค่ำกลางคืน นอกเหนือจากแสงสี ความทันสมัยพลุกพล่าน ยังอัญมณีงดงามซ่อนเร้นใต้เงาแมกไม้มุมสงบ เรียบง่าย เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ซ่อนตัวอยู่ตาม “ย่านเก่า” ต่างๆ ที่รอให้คุณไปค้นพบ

วันนี้ Thaiger จะพาคุณไปสำรวจ 5 ย่านเก่าในกรุงเทพ เปรียบเสมือนอัญมณีที่ซ่อนอยู่ พร้อมฉายแสงเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยว ในมุมมองใหม่ที่คุณอาจไม่เคยรู้จัก

1. ตลาดน้อย: เสน่ห์แห่งชุมชนจีนเก่าแก่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ตลาดน้อย หรือ “ตะลักเกี้ยะ” เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ในซอยเจริญกรุง 22 และซอยวานิช 2 เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ เดิมเป็นแหล่งพำนักของชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันยังคงรักษาเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส อาคารบ้านเรือนเก่าแก่ และศาลเจ้าอันเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างงดงาม

สถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนตลาดน้อย ได้แก่ ศาลเจ้าโจวซือกง ศาลเจ้าเก่าแก่ที่ชาวจีนในตลาดน้อยให้ความเคารพนับถือ, บ้านโซวเฮงไถ่ บ้านไม้เก่าแก่กว่า 200 ปี ที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น, โรงเรียนกุลสตรีศรีสุริโยทัย โรงเรียนหญิงล้วนที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ร้านค้า ร้านอาหารเก่าแก่ ที่ยังคงเสิร์ฟอาหารอร่อยสูตรต้นตำรับ เช่น ห่านพะโล้ ขนมจีบกุ้ง และบะหมี่

กิจกรรมที่น่าสนใจในตลาดน้อย มีหลากหลายให้เลือกสรร เริ่มต้นด้วยการเดินเล่นชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ถ่ายรูปสวยๆ กับ Street Art ที่ซ่อนตัวอยู่ตามตรอกซอกซอย ลิ้มรสอาหารอร่อยที่ร้านค้าเก่าแก่ หรือจะนั่งจิบกาแฟชิลๆ ในคาเฟ่บรรยากาศดีก็ได้ หากมาในช่วงเย็น แนะนำให้ล่องเรือชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกของตลาดน้อยยามค่ำคืน

นอกจากนี้ ตลาดน้อยยังมีกิจกรรมพิเศษต่างๆ จัดขึ้นเป็นประจำ เช่น งานเทศกาลต่างๆ ตลาดนัด และการแสดงดนตรีสด ซึ่งจะเพิ่มสีสันและความสนุกสนานให้กับการท่องเที่ยวของคุณ

การเดินทางมายังตลาดน้อย สามารถมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถโดยสารประจำทาง หรือจะนั่งรถไฟฟ้า MRT มาลงสถานีหัวลำโพง แล้วต่อรถแท็กซี่หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็สะดวกเช่นกัน หากมาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ อาจจะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาแน่น

2. ป้อมปราบศัตรูพ่าย: ย่านประวัติศาสตร์ แหล่งรวมวัฒนธรรมหลากหลาย

ป้อมปราบศัตรูพ่าย ย่านเมืองเก่าใจกลางกรุงเทพฯ ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมหลากหลาย ทั้งไทย จีน มุสลิม ทำให้ย่านนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากย่านอื่นๆ ในกรุงเทพฯ

สถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนป้อมปราบศัตรูพ่าย เช่น วัดเทพธิดารามวรวิหาร วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 มีสถาปัตยกรรมที่งดงามและเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์

เดินมาอีกนิดจะถึง “ศาลเจ้าพ่อเสือ” ศาลเจ้าจีนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพนับถือของชาวจีนในย่านนี้ ตั้งอยู่ บริเวณเสาชิงช้า มีชื่อเสียงเรื่องการขอพรเกี่ยวกับหน้าที่การงานและโชคลาภ ภายในศาลเจ้ามีองค์ประธานคือ “เจ้าพ่อเสือ” หรือ “เสียนเทียนซั่งตี้” ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดตามความเชื่อของลัทธิเต๋า นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้าองค์อื่นๆ ให้สักการะบูชาอีกมากมาย เช่น เจ้าแม่กวนอิม เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย และเทพเจ้าแห่งโชคลาภ

สถาปัตยกรรมของศาลเจ้าพ่อเสือมีความงดงามและเป็นเอกลักษณ์ตามแบบศาลเจ้าจีนภาคใต้ โดดเด่นด้วยลวดลายแกะสลักและสีสันสดใส นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาสักการะขอพร ทำบุญแก้ชง หรือเสี่ยงเซียมซีเพื่อเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบศาลเจ้ายังมีร้านค้าขายของที่ระลึกและอาหารอร่อยให้ได้ลิ้มลองอีกด้วย

ภาพจาก : ศาลเจ้าพ่อเสือเสาชิงช้า – official

กิจกรรมที่น่าสนใจในป้อมปราบศัตรูพ่าย มีหลากหลายให้เลือกสรร เริ่มต้นด้วยการเดินเล่นชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของวัดวาอารามและศาลเจ้าต่างๆ แวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล หรือ เลือกซื้อของที่ตลาดโบ๊เบ๊ ตลาดขายส่งเสื้อผ้าขนาดใหญ่ เสื้อผ้าถูก หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่น เสื้อผ้าเด็ก หรือเครื่องประดับต่างๆ

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ย่านป้อมปราบศัตรูพ่ายมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปมากมาย ทั้งตึกเก่าสีสันสดใส กำแพงที่มีลวดลายสตรีทอาร์ตสวยงาม และวิถีชีวิตของผู้คนในย่านนี้

การเดินทางมายังป้อมปราบศัตรูพ่าย สามารถมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถโดยสารประจำทาง หรือจะนั่งรถไฟฟ้า MRT มาลงสถานีหัวลำโพง แล้วต่อรถแท็กซี่หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็สะดวกเช่นกัน หากมาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ อาจจะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาแน่น

3. นางเลิ้ง: ย่านอร่อย ร้านอาหารเก่าแก่ สวรรค์ของนักชิม

นางเลิ้ง ย่านเก่าแก่ ขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกินอร่อยๆ ที่มีร้านอาหารเก่าแก่รสเด็ดเปิดมานานหลายสิบปี จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ย่านอร่อย” ของกรุงเทพฯ

หากพูดถึงร้านเด็ดในย่านนางเลิ้ง ต้องไม่พลาด “ร้านข้าวแกงเจ๊กปุ๊ย” ร้านข้าวแกงชื่อดังที่เปิดมานานกว่า 60 ปี มีเมนูข้าวแกงให้เลือกหลากหลาย พร้อมด้วยกับข้าวรสเด็ด เช่น พะแนงหมู ผัดเผ็ดปลาดุก และแกงเขียวหวานไก่ อีกหนึ่งร้านที่ห้ามพลาดคือ “ร้านเนื้อตุ๋นนางเลิ้ง” ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นเจ้าเก่าแก่ น้ำซุปเข้มข้นกลมกล่อม เนื้อตุ๋นนุ่มละลายในปาก

สำหรับใครที่ชื่นชอบขนมหวาน ต้องแวะไปที่ “ร้านขนมหวานแม่สมจิตต์” ร้านขนมหวานเจ้าดังที่เปิดมานานกว่า 40 ปี มีขนมหวานให้เลือกหลากหลาย เช่น ขนมถ้วย ขนมตาล และตะโก้ นอกจากนี้ ยังมีร้านอร่อยอีกมากมายที่รอให้คุณไปลิ้มลอง เช่น ร้านไส้กรอกปลาแนมสูตรโบราณ ร้านเป็ดย่างนางเลิ้ง และร้านอาหารตามสั่งอีกหลายร้าน

นอกจากร้านอาหารอร่อยแล้ว นางเลิ้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น วัดสุนทรธรรมทาน วัดเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม และตลาดนางเลิ้ง ตลาดเก่าแก่ที่ยังคงมีเสน่ห์และบรรยากาศแบบดั้งเดิม ให้คุณได้เดินเล่นชมบรรยากาศและเลือกซื้อสินค้าต่างๆ

การเดินทางมายังนางเลิ้งสามารถทำได้ง่ายๆ โดยรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีสามยอด หรือจะนั่งรถโดยสารประจำทางสายต่างๆ ก็สะดวกเช่นกัน หากคุณเป็นนักชิมที่ชื่นชอบอาหารอร่อยและต้องการสัมผัสบรรยากาศของย่านเก่าแก่ในกรุงเทพฯ นางเลิ้งคือสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด

4. วงเวียน 22 กรกฎา: ย่านเก่า เสน่ห์แห่งสถาปัตยกรรมยุคโคโลเนียล

วงเวียน 22 กรกฎาคม ย่านเก่าแก่ที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยความรุ่งเรืองในอดีตให้เห็นได้ในปัจจุบัน อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ในย่านนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มีลักษณะเด่นคือ เป็นอาคารแบบตะวันตกผสมผสานกับศิลปะไทย มีความสวยงามและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมยุคโคโลเนียล

หนึ่งในสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนวงเวียน 22 กรกฎาคม คือ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือ “หลวงพ่อทองคำ” พระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากนี้ ยังมีอาคารเก่าแก่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น อาคารไปรษณีย์กลาง อาคารศุลกสถาน อาคารสโมสรเสือป่า และบ้านโซวเฮงไถ่ ซึ่งเป็นบ้านไม้เก่าแก่สไตล์ชิโนโปรตุกีส

นอกจากการเดินชมสถาปัตยกรรมสวยๆ แล้ว ยังสามารถแวะชิมอาหารอร่อยๆ ที่ร้านอาหารเก่าแก่ในย่านนี้ได้อีกด้วย เช่น ร้านข้าวหมูแดงนายไซ ร้านก๋วยจั๊บอ้วนโภชนา และร้านขนมหวานต่างๆ นอกจากนี้ ยังสามารถไปเดินเล่นที่ตลาดเก่า เพื่อสัมผัสบรรยากาศและวิถีชีวิตของคนในย่านนี้ได้อีกด้วย

การเดินทางมายังวงเวียน 22 กรกฎาคม สามารถทำได้โดยรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีหัวลำโพง หรือจะนั่งรถโดยสารประจำทางก็สะดวกเช่นกัน หากมาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ อาจจะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาแน่น

5. คลองสาน: จุดพักใจฝั่งธน แหล่งรวมศิลปะและวัฒนธรรม

คลองสาน ย่านเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี กำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ด้วยการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างมนต์เสน่ห์แห่งอดีตกับความทันสมัยของศิลปะและวัฒนธรรม ที่นี่คุณจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตริมน้ำที่เรียบง่าย ท่ามกลางสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ทรงคุณค่า แหล่งเรียนรู้สร้างสรรค์

หนึ่งในสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนคลองสานคือ “ล้ง 1919” แลนด์มาร์คที่ผสมผสานศิลปะ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตริมน้ำเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว คุณสามารถเดินเล่นชมสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ชมงานศิลปะที่จัดแสดงหมุนเวียน หรือลิ้มลองอาหารอร่อยๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

“ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC)” แหล่งเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจด้านการออกแบบ ที่มีนิทรรศการและกิจกรรมที่น่าสนใจตลอดทั้งปี

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง “ไอคอนสยาม” มีครบหมดทุกแบรนด์ไฮเอนด์ ที่นี่เป็นศูนย์การค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีร้านค้าแบรนด์เนมชั้นนำ ร้านอาหารนานาชาติ และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์สยาม ทัศนา และสวนลอยฟ้า

ใครต้องการหาความสงบ คลองสานยังมีวัดวาอารามที่สวยงามและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง เช่น วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง) วัดเก่าแก่ที่มีพระปรางค์สูงเด่นเป็นสง่า และวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร วัดจีนที่มีพระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ

การเดินทางมายังคลองสานสามารถทำได้โดยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสะพานตากสิน แล้วต่อเรือข้ามฟากมายังท่าเรือสาทร คลองสานเหมาะมาเที่ยวงแบบครอบครัว เพื่อนฝูง กิจกรรมให้ทำร่วมกันได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นชมสถาปัตยกรรม ชมงานศิลปะ ช้อปปิ้ง หรือลิ้มลองอาหารอร่อยๆ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button