วิธีเช็คมือสอง แบบมืออาชีพ ต้องดูอะไรบ้าง ให้ได้รถยนต์คุณภาพดี
วิธีเช็ครถมือสอง ก่อนซื้อ อย่างมืออาชีพ ต้องดูอะไรบ้าง เพื่อให้ได้รถคุณภาพดีที่สุด
การได้รถยนต์มือสองที่มีคุณภาพดี ไม่มีปัญหา ไม่ใช่เรื่องของโชค เสี่ยงดวง แต่เป็นเรื่องของการค้นคว้าและตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดของผู้ซื้อ รู้จักวิธีสังเกตจุดที่อาจมีปัญหาและประเมินความน่าเชื่อถือของรถยนต์มือสองจะช่วยให้คุณไม่ต้องปวดหัวกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
วันนี้ Thaiger จะมาแชร์เคล็ดลับ วิธีเช็กรถยนต์มือสอง ให้ได้รถยนต์คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
อันดับแรกสุด ค้นคว้าข้อมูลออนไลน์ให้ได้มากที่สุด เมื่อคุณเจอรถยนต์ที่สนใจสักคันหรือสองคัน ไม่ว่าจะขายโดยเต็นท์รถหรือโดยเจ้าของโดยตรง ให้เช็กประวัติความน่าเชื่อถือของคนขาย ว่ามีข้อมูลติดต่อได้จริง มีประวัติดี ไม่ใช่มิจฉาชีพ จากนั้นนัดติดต่อวันเข้าไปดูสภาพรถจริง
ถ้าคุณซื้อรถจากเต็นท์รถมือสอง ลองถามดูว่ามีขั้นตอนไหนทำออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ได้บ้าง ยิ่งทำเอกสารผ่านช่องทางออนไลน์ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งเสียเวลาน้อยลงเท่านั้น อย่างกรณีของเต็นท์รถคุณหญิง สามารถสืบค้นข้อมูลผ่านเว็บไซต์ www.koonyingcar.com ก่อนได้เลย สะดวกและประหยัดเวลามาก
เช็กลิสต์คำถาม ข้อมูลเหล่านี้ คนขายรถยนต์มือสองต้องตอบได้
นี่คือถามคำถามพื้นฐาน ที่คนซื้อรถมือสองต้องรู้ข้อมูลก่อนตัดสินใจ เพื่อประเมินว่ารถคันนี้คุ้มค่าที่จะไปดูตัวจริงหรือไม่
1. รถวิ่งมาแล้วกี่กิโลเมตร?
จำนวนกิโลเมตรที่รถวิ่งมาแล้วบอกอะไรได้หลายอย่าง ถ้ามากกว่า 2 หมื่นกิโลเมตรต่อปี อาจเป็นรถใช้งานหนัก หากต่ำกว่า 5 พันกิโลเมตร อาจเป็นรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ซึ่งก็อาจมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่เสื่อมหรือชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ถามผู้ขายถึงสาเหตุของระยะทางที่ผิดปกติเหล่านี้ และอย่าเพิ่งเชื่อคำพูดที่ว่า “รถวิ่งแต่ทางไกล” ทั้งหมด เพราะรถที่วิ่งทางไกลมาก ๆ ก็อาจมีการสึกหรอมากกว่าปกติได้
2. รถมีอุปกรณ์อะไรบ้าง?
อย่าลืมตรวจสอบอุปกรณ์ของรถให้ครบถ้วน ถามเกี่ยวกับอุปกรณ์สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะระบุไว้ในประกาศขายหรือไม่ เช่น เกียร์ ระบบความปลอดภัย (เช่น ถุงลมนิรภัย ระบบเบรก ABS) ระบบเครื่องเสียง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เบาะปรับไฟฟ้า บลูทูธ จอหลัง กล้องมองหลัง และระบบนำทาง ถ้ายิ่งมีอุปกรณ์เสริมครบ สภาพสมบูรณ์ ในราคาที่คุณรับได้ ถือว่าเป็นกำไร
3. สภาพรถเป็นอย่างไร?
ถามคำถามกว้างๆ เกี่ยวกับสภาพรถโดยรวม เช่น มีปัญหาอะไรที่ต้องซ่อมแซมหรือไม่ เคยมีการเปลี่ยนอะไหล่สำคัญหรือไม่ ระหว่างสนทนา ผู้ขายอาจพูดถึงเรื่องที่คุณอาจไม่ได้นึกถึง เช่น ร่องรอยการเกิดอุบัติเหตุ หรือปัญหาจุกจิกอื่น ๆ
4. สภาพตัวถังและภายในเป็นอย่างไร?
ตรวจสอบรอยบุบ รอยขีดข่วน สนิม หรือความเสียหายอื่นๆ บนตัวถังรถ ตรวจสอบสภาพภายในว่าเบาะมีรอยฉีกขาดหรือไม่ อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถทำงานปกติหรือไม่
5. เคยเกิดอุบัติเหตุหรือไม่?
ข้อมูลส่วนนี้สำคัญมาก เพราะมีผลโดยตรงกับความสมบูรณ์และสมรรถภาพของรถ ถ้าเคย ถามเลยว่าอุบัติเหตุนั้นรุนแรงแค่ไหน ตำแหน่งที่เกิดความเสียหาย ค่าซ่อม และใครเป็นคนซ่อม ขอหลักฐานการซ่อมเพื่อตรวจสอบว่ามีการซ่อมแซมอย่างถูกต้องและปลอดภัย หากรถเคยประสบอุบัติเหตุรุนแรง ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อ
6. มีประวัติการเข้ารับบริการในศูนย์หรือไม่?
รถที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจะมีประวัติการเข้ารับบริการตามระยะที่ผู้ผลิตกำหนด ขอคู่มือการรับประกันและใบเสร็จสำหรับการบำรุงรักษาและอะไหล่ที่เปลี่ยน เพื่อตรวจสอบว่ารถได้รับการดูแลตามมาตรฐานหรือไม่
ถ้าซื้อกับคนขายโดยตรงควรถามอะไร
1. คุณเป็นเจ้าของรถตั้งแต่ซื้อมาใหม่เลยหรือเปล่า?
การรู้ประวัติการเป็นเจ้าของรถจะช่วยให้คุณประเมินสภาพรถและการดูแลรักษาได้ หากเจ้าของอ้างว่าดูแลรถเองแต่ไม่มีหลักฐาน หรือรถเปลี่ยนมือบ่อยในช่วงเวลาสั้นๆ ควรตรวจสอบประวัติรถเพิ่มเติมเพื่อความมั่นใจ
2. ใครเป็นคนขับรถคันนี้เป็นส่วนใหญ่?
พูดคุยกับคนที่ขับรถคันนี้เป็นหลักเพื่อประเมินว่าเขาเป็นคนขับรถแบบไหน ดูแลรถดีแค่ไหน และมีพฤติกรรมการขับขี่ที่เสี่ยงหรือไม่
3. ทำไมถึงขายรถคันนี้?
คำตอบของผู้ขายจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงในการขายรถ หากคำตอบฟังดูมีพิรุธหรือไม่สมเหตุสมผล อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ารถอาจมีปัญหาซ่อนอยู่
ตรวจสอบรถเองต้องดูอะไรบ้าง
นอกเหนือจากการสอบถามพูดคุยเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวรถ กับเจ้าของเก่าแล้ว ผู้ซื้อยังต้องพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง เพราะบางครั้งคนขายอาจพูดดูดีเกินจริงเพื่อโน้มน้าวปิดการขายได้
1. เช็กเอกสารรถย้อนหลัง
เอกสารเหล่านี้จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่ารถที่คุณกำลังจะซื้อนั้น มีประวัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง หรือถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
สิ่งที่ควรตรวจสอบในเอกสารรถย้อนหลัง ได้แก่ เล่มทะเบียนรถยนต์ จะระบุข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อเจ้าของรถ วันจดทะเบียน ประเภทของรถยนต์ และประวัติการโอนกรรมสิทธิ์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลในเล่มทะเบียนตรงกับรถที่คุณกำลังจะซื้อ และไม่มีการแก้ไขหรือปลอมแปลงใดๆ
เอกสารประวัติการเข้ารับบริการ จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการบำรุงรักษาและการซ่อมแซมรถยนต์ในอดีต หากรถได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ก็มีแนวโน้มว่าจะอยู่ในสภาพที่ดี
นอกจากนี้ คุณยังสามารถตรวจสอบประวัติรถเพิ่มเติมได้จากกรมการขนส่งทางบก หรือบริษัทประกันภัย ซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการเกิดอุบัติเหตุ การเคลมประกัน และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อรถมือสองได้อย่างมั่นใจ และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
2. เช็กตรวจรถทั้งภายในและภายนอกให้ละเอียด
การตรวจสอบตัวรถภายนอกและภายในอย่างละเอียด เป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องใช้เวลากับมันมากที่สุด เพราะจะช่วยให้คุณประเมินสภาพรถได้อย่างครอบคลุม และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่ารถคันนี้คุ้มค่ากับเงินที่คุณจะจ่ายไปหรือไม่ หรือไม่ควรซื้อแล้วมองหาคันใหม่แทน
ภายนอกรถ
1. สภาพสี: ตรวจสอบสีรถโดยรอบว่ามีรอยขีดข่วน รอยบุบ รอยถลอก หรือสีซีดจางหรือไม่ หากมีร่องรอยเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุ หรือไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี นอกจากนี้ ให้สังเกตความสม่ำเสมอของสีรถ หากพบว่าสีเพี้ยน หรือมีรอยปะผุ เชื่อมรถยนต์ อาจเป็นสัญญาณว่ารถเคยทำสีใหม่ ซึ่งอาจเกิดจากอุบัติเหตุหรือการซ่อมแซม
2. ตัวถังและโครงสร้าง: ตรวจสอบตัวถังรถว่ามีรอยบุบ รอยยุบ หรือรอยเชื่อมที่ผิดปกติหรือไม่ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับบริเวณโครงสร้างหลักของรถ เช่น เสาประตู คานหน้า-หลัง และใต้ท้องรถ หากพบความเสียหายที่โครงสร้างหลัก อาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่
3. กระจกและไฟ: ตรวจสอบกระจกรอบคันว่ามีรอยร้าว รอยแตก หรือรอยขีดข่วนหรือไม่ และตรวจสอบไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอก ว่าทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่
4. ยาง: ตรวจสอบสภาพยางทั้งสี่เส้น ว่ามีดอกยางเหลือเพียงพอหรือไม่ และมีรอยฉีกขาดหรือบวมหรือไม่ ยางที่เสื่อมสภาพอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบล้อแม็กซ์ว่ามีรอยดุ้ง รอยเบียด หรือรอยแตกหรือไม่
ภายในรถ
1. เบาะและภายใน: ตรวจสอบสภาพเบาะว่ามีรอยขาด รอยไหม้ หรือคราบสกปรกหรือไม่ และตรวจสอบอุปกรณ์ภายในอื่นๆ เช่น แผงคอนโซล พวงมาลัย และแผงประตู ว่ามีรอยแตกหัก หรือชำรุดหรือไม่
2. อุปกรณ์ไฟฟ้า: ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น วิทยุ แอร์ พัดลม กระจกไฟฟ้า และระบบล็อคประตู ว่าทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่
3. กลิ่น: ดมกลิ่นภายในรถว่ามีกลิ่นอับชื้น กลิ่นเหม็นไหม้ หรือกลิ่นน้ำมันหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาต่างๆ เช่น น้ำรั่วเข้ารถ หรือเครื่องยนต์มีปัญหา
4. เลขไมล์: ตรวจสอบเลขไมล์ว่ามีความสมเหตุสมผลกับอายุและสภาพของรถหรือไม่ หากเลขไมล์น้อยเกินไปเทียบกับวันที่จดทะเบียนรถ อาจเป็นไปได้ว่ามีการปรับเลขไมล์ ซึ่งเป็นการหลอกลวงผู้ซื้อ และผิดกฎหมาย
3. ตรวจสอบระบบส่งกำลัง
ระบบส่งกำลัง (Transmission) ทำหน้าที่สำคัญในการถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อขับเคลื่อน เป็นส่วนประกอบที่ซับซ้อนและมีราคาแพงในการซ่อมแซม ดังนั้น การตรวจสอบระบบส่งกำลังอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเลือกซื้อรถมือสอง เพื่อให้คุณมั่นใจว่าจะได้รถที่มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และไม่ต้องเสียเงินซ่อมเพิ่มในภายหลัง
ทดสอบการเปลี่ยนเกียร์
ความนุ่มนวล: ทดลองขับรถและเปลี่ยนเกียร์ในทุกตำแหน่ง (P, R, N, D, 2, L หรือ S) การเปลี่ยนเกียร์ควรเป็นไปอย่างนุ่มนวล ไม่กระตุก หรือมีเสียงดังผิดปกติ หากพบอาการกระตุก หรือเสียงดัง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาภายในระบบเกียร์ เช่น เกียร์สึกหรอ หรือน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ
การตอบสนอง: สังเกตการตอบสนองของเครื่องยนต์ขณะเปลี่ยนเกียร์ เครื่องยนต์ควรตอบสนองต่อการเปลี่ยนเกียร์อย่างรวดเร็วและราบรื่น หากเครื่องยนต์มีอาการหน่วง หรือเร่งไม่ขึ้น อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ระบบเกียร์ หรือระบบคลัทช์ (สำหรับรถเกียร์ธรรมดา)
เช็กน้ำมันเกียร์
ระดับน้ำมัน: ตรวจสอบระดับน้ำมันเกียร์โดยใช้ก้านวัดระดับน้ำมันเกียร์ น้ำมันเกียร์ควรมีระดับอยู่ในเกณฑ์ปกติ และไม่ควรมีสีดำคล้ำหรือมีกลิ่นไหม้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ
รอยรั่วซึม: ตรวจสอบใต้ท้องรถบริเวณระบบเกียร์ว่ามีรอยรั่วซึมของน้ำมันเกียร์หรือไม่ หากพบรอยรั่วซึม อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ซีลเกียร์ หรือตัวเกียร์เอง
ทดสอบระบบขับเคลื่อน
การทำงานของเพลาขับ: ตรวจสอบเพลาขับหน้าและหลัง (ถ้ามี) ว่ามีรอยรั่วซึมของจาระบี หรือมีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ลูกปืนเพลาขับ หรือข้อต่อเพลาขับ
การทำงานของเฟืองท้าย: ตรวจสอบเฟืองท้ายว่ามีเสียงหอน หรือมีการสั่นสะเทือนผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่เฟืองท้าย หรือลูกปืนเฟืองท้าย
ทดลองขับ ตรวจสอบให้มั่นใจว่าเครื่องยนต์ดี ลงถนนจริงแล้วควงพวงมาลัยเข้ามือ
เมื่อคุณตรวจสอบรถตามขั้นตอนทั้งหมดที่เราแนะนำแล้ว จงขอผู้ขายให้คุณทดลองขับ เพราะเป็นโอกาสเดียวที่คุณจะได้สัมผัสความรู้สึกจริงและทดสอบสมรรถนะของรถด้วยตัวเอง การตรวจสอบด้วยสายตาและการตรวจเช็คเอกสารอาจไม่เพียงพอที่จะบอกถึงสภาพที่แท้จริงของรถ การทดลองขับจะช่วยให้คุณรับรู้ถึงความรู้สึกในการขับขี่ การตอบสนองของเครื่องยนต์ เสียงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และปัญหาอื่นๆ ที่อาจซ่อนอยู่
รถแต่ละคันมีลักษณะการขับขี่ที่แตกต่างกัน บางคันอาจมีพวงมาลัยที่เบาและคล่องตัว บางคันอาจมีช่วงล่างที่แข็งกระด้าง หรือบางคันอาจมีเครื่องยนต์ที่ตอบสนองช้า การทดลองขับจะช่วยให้คุณรู้ว่ารถคันนี้มีสไตล์การขับขี่ที่ตรงกับความต้องการของคุณหรือไม่
ระหว่างขับ ให้คุณสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขับขี่ เช่น เสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์ หรือช่วงล่าง การสั่นสะเทือนที่ผิดปกติ หรือการตอบสนองของเบรกที่ไม่ดีเท่าที่ควร ระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง ระบบนำทาง และอุปกรณ์อื่นๆ ทำงานถูกต้องไหม
ตอนทดลองขับนี่แหละคุณจะได้เห็นปัญหา และตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะซื้อหรือไม่ ถ้าแอร์เย็นดี ระบบต่างๆ ในรถทำงานถูกต้อง เครื่องยนต์ไม่ส่งเสียงเวลาสตาร์ท ขับลื่นไม่กระตุก ไม่มีเสียงแปลกๆ ระหว่างทาง 90% รถยนต์มือสองคนนั้นน่าจะเป็นของคุณในไม่ช้า
แต่หากยังไม่เจอรถมือสองที่ถูกใจ แนะนำเต็นท์รถคุณหญิง มีรถหลากรุ่น หลายยี่ห้อให้เลือก ทั้งรถญี่ปุ่นไปจนถึงรถหรูยุโรป เช็กราคาเบื้องต้นได้ที่ www.koonyingcar.com หรือดูรถจริงได้เต็นท์รถ ตั้งอยู่ ถ.กาญจนาภิเษก บางระมาด ตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร
อ่านบทความรถยนต์มือสองที่เกี่ยวข้อง