10 ข้อ “ตรรกะวิบัติ” รู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อคนชั่ว
การสื่อสารชีวิตประจำวัน ใครโต้แย้งเก่ง ให้เหตุผลน่าเชื่อถือ มักคุมเกมและโน้มน้าวให้ผู้อื่นตัดสินใจตามที่ตนต้องการได้ หลายครั้งที่เราเผชิญกับการโต้แย้งที่ฟังดูน่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้วแฝงด้วยข้อผิดพลาดทางตรรกะ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการตัดสินใจที่ผิดพลาด
บทความนี้ Thaiger จะพาคุณไปรู้จักกับ “ตรรกะวิบัติ” กับดักความคิดที่ซ่อนอยู่ในภาษาและการโต้แย้ง ร่วมเรียนรู้ประเภทของตรรกะวิบัติ วิธีการวิเคราะห์การโต้แย้ง และฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของตรรกะบ้งๆ เหล่านี้
1. การโจมตีตัวบุคคล (Ad Hominem)
การโจมตีตัวบุคคล คือ ตรรกะวิบัติที่ใช้วิธีเบี่ยงเบนประเด็นจากเนื้อหาสาระของข้อโต้แย้ง ไปโจมตีลักษณะส่วนบุคคลของผู้พูดแทน ซึ่งอาจเป็นการดูถูกเหยียดหยาม ใส่ร้ายป้ายสี หรือพาดพิงเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลัก
หลักการของ Ad Hominem คือการพยายามลดความน่าเชื่อถือของผู้พูด เพื่อให้คนอื่นไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาพูด โดยไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกหรือผิด มีเหตุผลหรือไม่ การโจมตีอาจมุ่งเป้าไปที่บุคลิกภาพ ภูมิหลัง เชื้อชาติ เพศ หรือแม้กระทั่งรูปลักษณ์ภายนอก
ตัวอย่างเช่น ในการโต้วาทีเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ แทนที่จะโต้แย้งด้วยข้อมูลและเหตุผล กลับพูดว่า “คุณไม่ควรเชื่อเขาหรอก เขาเรียนไม่จบปริญญาโทด้วยซ้ำ” หรือ “เธอเป็นผู้หญิง ทำไมถึงกล้ามาพูดเรื่องเศรษฐกิจ” นี่คือตัวอย่างของ Ad Hominem ที่ชัดเจน
การโจมตีตัวบุคคลหวังผลด้อยค่าเนื้อหา เป็นกลยุทธ์ที่อันตราย เพราะทำให้เกิดอคติและบิดเบือนความจริง คนที่ถูกโจมตีอาจเสียความมั่นใจและเสียโอกาสในการนำเสนอความคิดเห็นที่มีประโยชน์ ในขณะเดียวกัน ผู้ฟังก็อาจถูกชักนำไปในทางที่ผิด โดยตัดสินใจจากความรู้สึกมากกว่าเหตุผล
2. การสร้างหุ่นฟาง (Straw Man)
สร้างหุ่นฟาง คือ ตรรกะวิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อผู้โต้แย้งบิดเบือนหรือลดทอนความสำคัญของข้อโต้แย้งของฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้โจมตีหรือโต้แย้งได้ง่ายขึ้น เปรียบเสมือนการสร้างหุ่นฟางขึ้นมาแทนตัวคู่ต่อสู้ แล้วจึงทำลายหุ่นนั้นแทนที่จะต่อสู้กับคู่ต่อสู้ตัวจริง
หลักการคือการเบี่ยงเบนประเด็นจากข้อโต้แย้งที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม ไปสู่ประเด็นที่อ่อนแอหรือผิดเพี้ยนกว่า ซึ่งผู้ใช้ หุ่นฟางมักจะเลือกเฉพาะส่วนที่อ่อนแอที่สุดของข้อโต้แย้งนั้นมาโจมตี หรืออาจบิดเบือนข้อโต้แย้งนั้นให้ดูสุดโต่งหรือไร้เหตุผล
ตัวอย่างเช่น ในการถกเถียงเรื่องการควบคุมอาวุธปืน ฝ่ายหนึ่งอาจเสนอให้มีการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนอย่างเข้มงวดขึ้น แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับกล่าวว่า “คุณต้องการยึดอาวุธปืนของประชาชนทั้งหมดเลยหรือไง นี่มันละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเรา!” จงใจบิดเบือนข้อเสนอของฝ่ายตรงข้ามให้ดูสุดโต่งเกินจริง
3. การสร้างทางเลือกเท็จ (False Dilemma)
ความวิบัติของการสร้างทางเลือกเท็จ คือ กลลวงทางตรรกะที่หลอกให้เราคิดว่ามีแค่สองทางเลือกเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเหมือนการบังคับให้เราเลือกระหว่างขาวกับดำ ทั้งที่โลกนี้มีสีเทาและสีอื่นๆ อีกเยอะแยะ
หลักการของ False Dilemma คือการนำเสนอทางเลือกที่จำกัดและสุดโต่ง โดยมักจะทำให้ทางเลือกหนึ่งดูแย่มากๆ เพื่อบีบให้เราเลือกอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้พูดต้องการ ซึ่งทางเลือกที่ถูกปิดบังไว้อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าหรือเหมาะสมกว่าก็ได้
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น “ถ้าคุณไม่รักชาติ คุณก็เป็นคนชั่ว” นี่คือสองทางเท็จ เพราะความรักชาติมีหลายระดับและแสดงออกได้หลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่รักหรือไม่รักเท่านั้น หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง “ถ้าคุณไม่เรียนต่อปริญญาโท คุณก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จในชีวิต” นี่ก็เป็น False Dilemma เพราะความสำเร็จในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเรียนต่อปริญญาโทเพียงอย่างเดียว
การตกหลุมพรางของทางเล็กเท็จ ทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด คิดว่าไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งหรือการเลือกข้างโดยไม่จำเป็น
4. ลื่นไหลไปสู่หายนะ (Slippery Slope)
ลื่นไหลไปสู่หายนะ คือ ตรรกะวิบัติที่อ้างว่า หากเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น จะนำไปสู่เหตุการณ์อื่นๆ ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนกับการลื่นไถลลงจากเนินลาดชันที่ไม่มีทางหยุดได้
หลักการของ Slippery Slope คือการสร้างความหวาดกลัวต่อผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด โดยไม่ได้มีหลักฐานเพียงพอว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริง หรือมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน มักใช้คำเชื่อมโยง เช่น “ถ้า…แล้ว…”, “ถ้า…ก็จะ…”, “นำไปสู่…” เพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ
ตัวอย่างเช่น “ถ้าเรายอมให้มีการทำแท้งเสรี ต่อไปคนก็จะฆ่ากันง่ายขึ้น สังคมจะล่มสลาย” หรือ “ถ้าเรายอมให้ค้าประเวณีถูกกฎหมาย ผู้หญิงคงไปทำอาชีพโสเภณีกันหมด) นี่คือตัวอย่างของหลักคิดวิบัติที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่าการทำแท้งเสรีจะนำไปสู่การฆาตกรรมและสังคมล่มสลาย
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง “ถ้าเราอนุญาตให้มีการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ต่อไปคนก็จะแต่งงานกับสัตว์ได้” นี่ก็เป็นการอ้างเหตุผลที่สุดโต่งเกินจริง
การใช้ ลื่นไหลไปสู่หายนะ มักใช้เพื่อสร้างความหวาดกลัวและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้พิจารณาถึงข้อดีหรือข้อเสียของเหตุการณ์นั้นๆ อย่างรอบด้าน ทำให้สังคมเกิดการแช่แข็ง ไม่พัฒนา
5. การสรุปโดยทั่วไปอย่างรวบรัด (Hasty Generalization)
เกิดขึ้นเมื่อมีการสรุปข้อความแบบเหมารวม โดยใช้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอหรือตัวอย่างที่ไม่ครอบคลุม ทำให้เกิดการเหมารวมที่อาจไม่เป็นจริงหรือไม่ยุติธรรม
หลักการของ การสรุปโดยทั่วไปอย่างรวบรัด จะด่วนสรุปโดยอาศัยประสบการณ์ส่วนตัวที่จำกัด หรือข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น ข่าวลือ คำบอกเล่า หรือความเชื่อส่วนบุคคล โดยไม่ได้พิจารณาถึงความหลากหลายและความซับซ้อนของสถานการณ์
ตัวอย่างเช่น “คนขับรถแท็กซี่ทุกคนชอบขับรถเร็วและปาดหน้า” เป็นการสรุปจากประสบการณ์ส่วนตัวที่อาจเจอคนขับแท็กซี่บางคนที่ขับรถไม่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าคนขับแท็กซี่ทุกคนจะเป็นแบบนั้น หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง “นักเรียนที่เรียนเก่งทุกคนต้องขยันอ่านหนังสือ” นี่ก็เป็นการสรุปแบบเหมารวม พราะความเก่งของนักเรียนอาจมาจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ความสามารถในการเรียนรู้ หรือการมีพื้นฐานที่ดี
การใช้ตรระกะวิบัติข้อนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและอคติต่อกลุ่มคนหรือสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติหรือการตัดสินที่ไม่เป็นธรรมได้
6. การอ้างอำนาจ (Appeal to Authority)
การอ้างอำนาจ คือ ตรรกะวิบัติที่อ้างว่าข้อความหนึ่งเป็นจริง เพียงเพราะผู้มีอำนาจ ผู้เชี่ยวชาญ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงกล่าวอ้าง โดยไม่ได้พิจารณาถึงหลักฐานหรือเหตุผลสนับสนุนที่แท้จริง
ความน่ากลัวคือ คนพวกนี้ใช้ความน่าเชื่อถือของบุคคลอื่นมาสนับสนุนข้อความของตนเอง โดยไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้องของข้อความนั้นด้วยตนเอง ผู้ใช้มักจะอ้างถึงตำแหน่ง หน้าที่ หรือชื่อเสียงของบุคคลนั้น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับข้อความของตน
ตัวอย่างเช่น “หมอคนนี้บอกว่ายาตัวนี้ดีที่สุด ดังนั้นคุณควรซื้อยานี้” ข้อความนี้เป็นตรรกะวิบัติ เพราะไม่ได้พิจารณาถึงผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือความเหมาะสมของยาสำหรับแต่ละบุคคล แต่อ้างหมอโดยรวม ซึ่งไม่ได้วินิจฉัยผู้กินโดยเฉพาะเจาะจง
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง “นักการเมืองคนนี้บอกว่านโยบายนี้จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ดังนั้นเราควรสนับสนุนนโยบายนี้” ข้อความนี้ไม่ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบที่แท้จริงของนโยบาย หรือความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติ
7. การดึงดูดอารมณ์ (Appeal to Emotion)
ตรรกะวิบัติที่พยายามโน้มน้าวหรือโน้มเอียงผู้อื่นด้วยการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก แทนที่จะใช้เหตุผลหรือหลักฐานที่ชัดเจน มักใช้ในการโฆษณา การเมือง หรือการโต้วาที เพื่อให้ผู้คนคล้อยตามโดยไม่ทันคิดไตร่ตรอง
หลักการของการดึงดูดอารมณ์ คือการเล่นกับความรู้สึกของผู้คน เช่น ความกลัว ความสงสาร ความโกรธ ความรัก ความภูมิใจ หรือความรู้สึกผิด เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางอารมณ์ และยอมรับข้อสรุปโดยไม่พิจารณาถึงความถูกต้องหรือเหตุผลที่แท้จริง
ตัวอย่างเช่น โฆษณาที่แสดงภาพเด็กยากไร้หิวโหย เพื่อกระตุ้นให้คนบริจาคเงินช่วยเหลือ โดยไม่ได้ให้ข้อมูลว่าเงินบริจาคจะถูกนำไปใช้อย่างไร หรือมีประสิทธิภาพเพียงใด หรือในการหาเสียงเลือกตั้ง นักการเมืองอาจกล่าวว่า “ถ้าคุณไม่เลือกผม คู่แข่งจะขึ้นภาษีและทำให้ชีวิตคุณแย่ลง” เพื่อสร้างความกลัวในหมู่ประชาชน ทั้งที่อาจไม่มีหลักฐานสนับสนุน
การตัดสินใจโดยใช้อารมณ์เพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ดีในระยะยาว จงพยายามแยกแยะอารมณ์ออกจากเหตุผล เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีสติและรอบคอบ
8. เน้นกระแส (Bandwagon)
ตรรกะวิบัติที่อ้างว่าสิ่งใดถูกต้องหรือดี เพียงเพราะคนส่วนใหญ่คิดหรือทำแบบนั้น โดยไม่ได้พิจารณาถึงเหตุผลหรือหลักฐานที่แท้จริง เป็นการอ้างถึงความนิยมหรือความเห็นของคนหมู่มาก เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความเชื่อหรือการกระทำของตนเอง
หลักการของกระแส คือการใช้ “ความเห็นส่วนใหญ่” เป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวใจ โดยไม่ได้สนใจว่าความเห็นนั้นถูกต้องหรือไม่ ผู้ใช้มักจะอ้างถึงจำนวนคนที่เห็นด้วย สถิติ หรือผลสำรวจ เพื่อสร้างความรู้สึกว่า “ถ้าคนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ มันก็ต้องถูกต้องสิ”
ตัวอย่างเช่น “คนส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์ยี่ห้อนี้ แสดงว่ามันต้องเป็นโทรศัพท์ที่ดีที่สุด” ชุดความคิดนี้ ไม่ได้พิจารณาถึงคุณสมบัติหรือข้อดีข้อเสียของโทรศัพท์แต่ละรุ่นตามที่มันเป็นจริงๆ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง “คนส่วนใหญ่เชื่อว่าโลกแบน แสดงว่าโลกต้องแบนจริงๆ” แท้จริงแล้วความเชื่อของคนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงทางวิทยาศาสตร์
9. การให้เหตุผลเป็นวงกลม (Circular Argument)
การให้เหตุผลวนเป็นวงกลม คือ ตรรกะวิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อข้อสรุปถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนตัวเอง เป็นเหมือนการวิ่งวนอยู่ในวงกลม โดยไม่ได้ให้ข้อมูลหรือหลักฐานใหม่ๆ เพิ่มเติม
วิธีคือการใช้คำพูดหรือประโยคที่มีความหมายเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันมาก มาสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้ดูเหมือนว่ามีเหตุผล แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงการย้ำคิดย้ำทำซ้ำๆ เท่านั้น
ตัวอย่างเช่น “พระเจ้ามีจริง เพราะคัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ และคัมภีร์ไบเบิลเป็นความจริงเพราะพระเจ้าเป็นผู้เขียน” นี่คือการอ้างเหตุผลวกวน เพราะใช้ข้อสรุปที่ว่า “พระเจ้ามีจริง” มาเป็นเหตุผลสนับสนุนว่า “คัมภีร์ไบเบิลเป็นความจริง” และในขณะเดียวกันก็ใช้ “คัมภีร์ไบเบิลเป็นความจริง” มาสนับสนุนว่า “พระเจ้ามีจริง”
อีกตัวอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ “ฉันเป็นคนฉลาด เพราะฉันพูดจาฉะฉาน และฉันพูดจาฉะฉานเพราะฉันเป็นคนฉลาด” นี่ก็เป็น การช้ข้อสรุป “ฉันเป็นคนฉลาด” มาสนับสนุนว่า “ฉันพูดจาฉะฉาน” และในขณะเดียวกันก็ใช้ “ฉันพูดจาฉะฉาน” มาสนับสนุนว่า “ฉันเป็นคนฉลาด”
10. การเบี่ยงเบนประเด็น (Red Herring)
เป็นการนำเสนอข้อมูล ประเด็น หรือข้อโต้แย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังถกเถียงกันอยู่ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ฟังออกจากประเด็นหลัก ทำให้การสนทนาหลุดออกนอกประเด็น และอาจทำให้ผู้ฟังหลงลืมหรือมองข้ามประเด็นสำคัญที่ควรจะได้รับการพิจารณา
หลักการของ Red Herring คือการเบี่ยงเบนความสนใจไปยังเรื่องอื่นที่อาจดูน่าสนใจหรือดึงดูดความสนใจมากกว่า แต่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ผู้ใช้มักจะใช้เทคนิคนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่ยาก หรือเพื่อทำให้คู่สนทนาหลงประเด็น
ตัวอย่างเช่น ในการโต้วาทีเรื่องการลดภาษี นักการเมืองฝ่ายค้านอาจถามว่า “รัฐบาลมีแผนที่จะลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างไร?” แต่นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลกลับตอบว่า “รัฐบาลกำลังดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงาน” นี่คือตัวอย่างของ Red Herring ที่เบี่ยงเบนประเด็นจากเรื่องความเหลื่อมล้ำไปสู่เรื่องเศรษฐกิจ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง