นี่คือ ภาพเซลฟี่ “ฆาตกรสังหารหมู่” ที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์
โลกออนไลน์มีการแชร์ภาพเซลฟี่ของ ‘เจมส์ โฮล์มส์‘ ฆาตกรเหี้ยม ผู้ก่อเหตุกราดยิงในโรงภาพยนตร์รัฐโคโลราโด จนกลายเป็นที่พูดถึงว่าเป็นหนึ่งในภาพถ่ายที่น่าขนลุกที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2012 โฮล์มส์วัย 24 ปี ก่อเหตุสลดใจด้วยการแต่งกายคล้ายทหารพร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าไปในโรงภาพยนตร์ในเมืองออโรรา รัฐโคโลราโด ที่กำลังฉายภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight Rises แล้วกราดยิงใส่ผู้ชม ฆ่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไป 12 ศพ และบาดเจ็บอีก 70 คน
ต่อมา โฮล์มส์ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในข้อหาฆาตกรรมและพยายามฆาตกรรมรวม 165 กระทง และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิ์ได้รับการปล่อยตัว
ในระหว่างการพิจารณาคดี ภาพเซลฟี่ของฆาตกรที่เขาถ่ายไว้ก่อนลงมือก่อเหตุได้ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐาน โดยภาพเหล่านั้นเผยให้เห็นโฮล์มส์โพสท่ากับปืน ในขณะที่ใส่คอนแทคเลนส์สีดำ และยังมีภาพที่เขาย้อมผมสีส้มสดใสพร้อมกับยิ้มเยาะให้กล้อง
ภาพเซลฟี่เหล่านี้ถูกเผยแพร่อีกครั้งบน X (ทวิตเตอร์เดิม) พร้อมกับหัวข้อ “ภาพถ่ายที่น่าขนลุกที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ซึ่งมีผู้คนมากมายเข้ามาแสดงความคิดเห็นเห็นด้วย
ผู้ใช้รายหนึ่งเขียนว่า “หมอนี่ดูไม่ปกติเอาซะเลย” อีกรายเสริมว่า “พระเจ้า ภาพนี้ของมือปืนออโรร่าทำฉันกลัวมาก” “ทำไมตาของเจมส์ โฮล์มส์ถึงดำแบบนั้น? น่าขนลุกมาก!”
อีกรายแสดงความเห็นเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์ของเขาว่า “ดวงตาของพวกเขายังกะปีศาจ” อีกรายเสริมว่า “แม้แต่ใบหน้าของเขาก็ดูน่าขนลุก .. มันเร็วเกินไปสำหรับวันฮาโลวีน”
ในวันเกิดเหตุ เมื่อตำรวจจับกุมโฮล์มส์ได้ เขาบอกตำรวจว่าเขาได้วางระเบิดไว้ในบ้านตัวเอง ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องอพยพผู้คนออกจากอาคาร 5 หลังที่อยู่รอบๆ ที่พักของเขาในเมืองออโรรา ซึ่งอยู่ห่างจากโรงภาพยนตร์ไปทางเหนือประมาณ 8 กิโลเมตร
วันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของเขาโดยใช้หุ่นยนต์บังคับระยะไกล และสามารถปลดชนวนระเบิดที่ติดอยู่กับประตูหน้า รวมถึงระเบิดอื่นๆ ที่ซ่อนไว้ภายใน
โฮล์มส์ถูกตัดสินว่ามีความผิดในทุกข้อกล่าวหา รวมถึงการฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อนสำหรับผู้เสียชีวิตแต่ละราย และพยายามฆาตกรรมสำหรับผู้รอดชีวิตทั้ง 70 คน
แม้ว่าโฮล์มส์จะยอมรับในการก่อเหตุ แต่เขาได้ให้การปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลว่าวิกลจริต ซึ่งศาลได้รับไว้พิจารณา การพิจารณาคดีของเขาเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 27 เมษายน 2015 และสิ้นสุดลงในวันที่ 26 สิงหาคม 2015
สุดท้ายศาลตัดสินให้เขาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต 12 กระทง รวม 3,318 ปี โดยไม่มีสิทธิ์ได้รับการปล่อยตัว โดยผู้พิพากษาระบุว่า “ศาลมีความตั้งใจให้จำเลยไม่ได้รับอิสรภาพอีกต่อไป”
อ่านข่าวอื่นๆ