รีวิว ‘Inside Out 2’ ไม่ทำให้ผิดหวัง ช่วยให้เข้าใจอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น
รีวิว ‘Inside Out 2’ ไม่ทำให้ผิดหวัง หนังสอนใจที่ช่วยให้เข้าใจอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น
ยอมรับเลยว่าตอนแรกที่รู้ว่าพิกซาร์จะสร้างภาคต่อของ “Inside Out” (2015) ผมรู้สึกหวั่นใจ เพราะภาคแรกถือว่าเป็นหนังที่สมบูรณ์แบบมาก และพิกซาร์ก็มีประวัติการทำหนังภาคต่อที่ไม่ค่อยดีนัก ทั้งหนังภาคต่อที่ดีในระดับหนึ่ง (“The Incredibles 2,” “Finding Dory”) ไปจนถึงหนังที่แย่มาก ๆ (”Cars 2″)
“Inside Out” ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมในปี 2016 เป็นหนังที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์มาก การที่จะสร้างภาคต่อให้มีมนต์ขลังและความประทับใจเท่าเดิมจึงเป็นเรื่องที่ดูยากมาก แต่พอได้ดู “Inside Out 2″ ก็รู้สึกโล่งใจและดีใจที่หนังสามารถสานต่อเรื่องราวจากภาคแรกได้อย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังช่วยให้ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วย
“Inside Out” เล่าเรื่องราวของอารมณ์ทั้ง 5 ได้แก่ ความสุข ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว และความขยะแขยง ที่อาศัยอยู่ในหัวของไรลีย์ เด็กหญิงตัวน้อย เมื่อครอบครัวของไรลีย์ต้องย้ายจากมินนิโซตาไปยังเบย์แอเรีย ทำให้โลกภายในของไรลีย์เปลี่ยนไป อารมณ์ทั้ง 5 ต้องเรียนรู้ถึงความสำคัญของแต่ละอารมณ์ในการช่วยให้ไรลีย์ฟื้นตัวจากการย้ายบ้านและเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองใหม่
“Inside Out 2″ เริ่มต้นที่จุดที่ “Inside Out” จบลง ไรลีย์เติบโตขึ้นเป็นเด็กสาววัย 12 ปีที่เรียนเก่งและเล่นฮอกกี้เก่ง เหตุการณ์ภายนอกของเรื่องเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ไรลีย์เข้าค่ายฮอกกี้ ซึ่งตรงกับวันที่สัญญาณเตือนดังขึ้นในสมองของเธอ บ่งบอกถึงการมาถึงของวัยรุ่น พร้อมกับอารมณ์ใหม่ๆ อย่าง ความอับอาย ความอิจฉา ความเบื่อ และความวิตกกังวล
องก์แรกของหนังเต็มไปด้วยมุกตลกเกี่ยวกับบุคลิกของอารมณ์ใหม่ๆ เช่น ความเบื่อที่ไม่เคยละสายตาจากโทรศัพท์ และความอับอายที่เป็นก้อนสีชมพูขนาดยักษ์ ในตอนแรก ความวิตกกังวลดูเหมือนจะช่วยให้ไรลีย์รับมือกับช่วงวัยรุ่นตอนต้นได้ดี แต่เมื่ออารมณ์เก่าๆ ตั้งคำถามถึงวิธีการที่เคร่งเครียดและเผด็จการของความวิตกกังวล พวกมันก็ถูกกักขังไว้ (กลายเป็นอารมณ์ที่ถูกกักขัง) และถูกขับออกจากศูนย์บัญชาการ พร้อมกับตัวตนที่ไรลีย์เคยสร้างขึ้น
ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว ความขยะแขยง และความสุข ต้องออกเดินทางผ่านจิตใจของไรลีย์เพื่อค้นหาตัวตนที่ถูกทิ้งไป การเดินทางครั้งนี้คล้ายกับโครงเรื่องจากภาคแรก แต่ผู้สร้างก็ฉลาดพอที่จะลดเวลาที่ใช้ในส่วนต่างๆ ของจิตใจลง และเพิ่มมุกตลกใหม่ๆ เข้าไปเพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำซาก
ในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกของหนัง รู้สึกประทับใจ สนุกสนาน และตื่นตาตื่นใจกับภาพแอนิเมชั่น แต่ผมยังไม่ได้รับความรู้สึกที่ลึกซึ้งเท่ากับที่เคยรู้สึกในภาคแรก
ต้องยอมรับว่าฉากของบิงบองในภาคแรกดีงามจนไม่มีฉากไหนสู้ได้
ในฉากกลางเรื่องของ “Inside Out” ความสุขและความเศร้าที่หลงทางอยู่ในจิตใจของไรลีย์ ได้พบกับเพื่อนในจินตนาการเก่าของเธอ บิงบอง ซึ่งเป็นส่วนผสมของช้าง แมว และโลมาที่มีร่างกายเป็นเหมือนขนมสายไหม บิงบองพาความสุขและความเศร้าเดินทางผ่านส่วนต่างๆ ของจิตใจของไรลีย์
ในที่สุด ความสุขและบิงบองก็ไปถึงก้นบึ้งของ Memory Dump ซึ่งเป็นที่ที่ความทรงจำที่ไม่จำเป็นแล้วจะค่อยๆ เลือนหายไป พวกเขาพยายามที่จะขึ้นจรวดออกจาก Memory Dump แต่ก็ล้มเหลวหลายครั้ง ในความพยายามครั้งสุดท้าย บิงบองเสียสละตัวเองโดยกระโดดออกจากจรวด ทำให้ความสุขสามารถหนีรอดได้ ขณะที่เขาค่อยๆ จางหายไปใน Memory Dump
การดูบิงบองหายไปเป็นเหมือนคำเตือนว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปเมื่อเธอโตขึ้น เข้าโรงเรียน และแทนที่จินตนาการของเด็กวัยเตาะแตะด้วยความคิดและความกังวลของเด็กโต “Inside Out” เตรียมผมให้พร้อมรับความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และผมมักจะนึกถึงฉากนี้บ่อยๆ เมื่อเธอโตขึ้น
ผมคิดว่าฉากใหญ่ที่ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมใน “Inside Out 2″ หากมี จะเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้ผมได้ไตร่ตรองถึงช่วงวัยเด็กของลูกๆ ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน ช่วงเวลาสำคัญของ “Inside Out 2″ กลับบังคับให้ผมมองเข้าไปข้างในและไตร่ตรองเกี่ยวกับสุขภาพจิตของตัวเอง
ในขณะที่อารมณ์หลักทั้ง 5 ไม่อยู่ที่ศูนย์บัญชาการ ความวิตกกังวลเข้าควบคุมจิตใจของไรลีย์ พยายามสร้างตัวตนที่เตรียมไรลีย์ให้พร้อมสำหรับอนาคต การคาดการณ์ของเธอล้วนเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และทุกการกระทำของไรลีย์เป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้น เธอเริ่มสร้างความเชื่อใหม่ๆ ที่อิงกับความวิตกกังวล ซึ่งจะสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา
บ่อยครั้งที่ผมปล่อยให้ความวิตกกังวลเป็นตัวกำหนดว่าผมจะใช้ชีวิตอย่างไร และตัดสินคุณค่าของตัวเองอย่างไร และผมก็มีช่วงเวลาที่ความวิตกกังวลครอบงำสมองของผมจนเกิดผลร้ายแรง ทั้งภายในของไรลีย์ ที่ความวิตกกังวลได้กลายเป็นพลังที่ไม่มีอารมณ์อื่นใดสามารถทะลุผ่านได้ และภายนอกของเธอที่ไรลีย์มีตาเบิกกว้าง ตัวสั่น และหายใจถี่ รู้สึกใกล้เคียงกับประสบการณ์ของผมมากเกินไป ซึ่งผมมั่นใจว่าผู้ชมที่มีแนวโน้มที่จะวิตกกังวลก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน
ในช่วงหลายปีที่ผมมีความวิตกกังวล ตั้งแต่ผมอายุประมาณไรลีย์ ผมไม่เคยเห็นมันถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพเท่านี้มาก่อน การดูฉากไคลแม็กซ์ให้ความรู้สึกเหมือนได้มองเข้าไปในสมองของตัวเอง และเข้าใจจริงๆ เป็นครั้งแรกว่ามันทำงานอย่างไรเมื่อมันทำงานได้ไม่ดี
ไม่เป็นการสปอยล์ที่จะบอกว่าหนังเรื่องนี้มีบทสรุปที่น่าพอใจ เนื่องจากอารมณ์ทั้งหมดกลับสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมในสมองของไรลีย์ในที่สุด เป็นบทสรุปที่ทำให้รู้สึกปลดปล่อย และเป็นสิ่งที่ผมจะนึกถึงและใช้เป็นแนวทางในการดึงตัวเองกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงในครั้งต่อไปที่ผมรู้สึกว่าความวิตกกังวลกำลังจะเอาชนะผมได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- รีวิว ‘Late Night With the Devil’ เรียกผีมาทอล์คโชว์ หลอนแบบดีงาม
- รีวิว Bad Boys: Ride or Die หนังแอ็คชั่นสุดมันส์ ที่โคตรมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง
- รีวิว The Fall Guy สตันท์แมนคนจริง หนังโคตรดีที่ทำเพื่อทีมงานเบื้องหลังทุกคน