“เบนซ์ พรชิตา” ร่ำไห้ พูดเรื่องจริงทุกครั้ง “มิค” โดนย่าเตือน อย่าให้เสียถึงนามสกุล
อยู่วงการบันเทิงมายี่สิบกว่าปีไม่เคยเสื่อมเสีย เบนซ์ พรชิตา พร้อมสามี มิค บรมวุฒิ หิรัญยัษฐิติ ขอออกมาเปิดใจผ่านรายการคุยแซ่บ Show หลังโดนพายุข่าว นายอัจริยะ เรืองรัตนะพงศ์ ร้องโฆษณาอาหารเสริมเกินจริง เล่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น
ก่อนวันเกิดเรื่อง มีนักข่าวและเพื่อนส่งมาให้ดูว่าจะมีคนไปร้องเรียนตนเรื่องอาหารเสริม ตอนแรกไม่คิดว่าเป็นเรา กระทั่งข่าวออก ใช่เลย ตอนแรกรู้สึกว่าทำไมหวยมาตกที่ตน ก็แปลกดี ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในตลาดค่อนข้างเยอะ
เบนซ์ชี้แจงเรื่องการลดน้ำหนักว่า “เป็นไปได้สองทางว่าคนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าตามที่เบนซ์เคยพูดเอาไว้ คือ 2 เดือน เบนซ์ลงได้ 10 กิโลจริงๆ แต่เวลามันเป็นข่าว มันคือ 2 เดือน 15 กิโล ซึ่งเราไม่เคยพูด เบนซ์ทำไม่ได้อยู่แล้ว
ทุกวันนี้ก็ยังลดไม่ถึง 15 กิโล บางคนอาจคิดว่าจริงเหรอ 2 เดือน 10 กิโลเป็นไปได้เหรอ บางคนอาจไม่ได้ แต่สำหรับเรามันเกิดขึ้นจริง เราก็รู้สึกว่าทุกครั้งจะพูดอะไรออกจากปาก เบนซ์จะระวังมากเลยนะ เพราะทุกครั้งที่พูดออกไปมันต้องเป็นเรื่องจริง และสามารถอธิบายได้ว่าเราทำอะไร
อย่างผลิตภัณฑ์อันนี้ เราตั้งใจกินมันจริงๆ พอเราพูดหรืออธิบาย ไปดูในไลฟ์หรือสัมภาษณ์อะไรก็แล้วแต่ เบนซ์พูดเหมือนเดิมตลอด เพราะเราทำแบบนั้น พอเราพูดเรื่องจริง กี่รอบเราก็พูดเหมือนเดิม หนูลดอาหารตรงนี้นะ ทำแบบนี้นะ แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นไปได้ยากสำหรับหลายๆ คน บางคนไม่เชื่อว่าเราทำจริง มันเลยเป็นข่าวได้”
ส่วนประเด็นที่มีคนอ้างว่ามีภาพหลุดเบนซ์ไปดูดไขมัน ตัดกระเพาะมา แล้วหลอกลวงผู้บริโภคว่าผอมเพราะอาหารเสริม เบนซ์ของชี้แจงว่า ตัวเองเคยพูดไปแล้วว่าเคยทำมาหมดแล้วทุกวิธี ลองทุกวิธีที่ช่วยลดน้ำหนัก แล้วมันก็กลับมาอีก ซึ่งมันนานเกิน 3 ปีแล้วด้วยซ้ำ “แต่เผอิญว่าหลังจากที่เรารับพรีเซ็นเตอร์ตัวนี้ ตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีที่แล้ว ยังไม่เคยเข้าคลินิกอะไรที่เกี่ยวกับการลดน้ำหนักเลย”
ถ้าทำ เบนซ์ออกมาทำงานไม่ได้ เพราะต้องมีเขียว มีอะไร?
มิค : แม้แต่วันนั้นที่ให้สัมภาษณ์นักข่าวกับคนที่ตอบโต้เวลาดูเราไลฟ์ เขาบอกว่าลองกลับไปดูรายการสดอย่างคุยแซ่บโชว์ที่เบนซ์ออกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต.ค. จนถึงตอนนี้ดูสิ จะเห็นเลยว่าเขาค่อยๆ ลงมาเรื่อยๆ ซึ่งน่ารักมาก นี่คือแฟนๆ เราบอกว่าไปเอาคลิปนี้ซึ่งเป็นรายการสดตลอดเวลา เอาไปให้ทุกคนดูได้เลย น่ารักมาก
เห็นถึงความพยายามพี่เบนซ์ พี่บอกเลยว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจเลย?
มิค : คุณกินยังไงก็หุ่นอย่างนั้น
พอมีข่าวออกมามีผลกระทบอะไรบ้างมั้ย?
เบนซ์ : เฮ้อ (ถอนใจ) เบนซ์ซีเรียสมากๆ
มิค : เราเป็นครอบครัว เรามีลูก คนจะมองลูกๆ เราอีก พ่อแม่โกหกเหรอ ทั้งที่เราไม่เคยโกหก เราพูดแต่ความจริง แล้วเชื่อมั้ยเราเกิดมา 40 กว่าปี ไม่เคยโดนญาติผู้ใหญ่โทรมาหา บอกว่ามิคลูก ย่ารู้ว่ามิคไม่ได้ทำ แต่อย่าให้เสียถึงนามสกุลเรานะ นามสกุลเรารัชกาลที่ 6 พระราชทานให้นะ ทั้งชีวิตผมไม่เคยทำอะไรให้ต้องเสียอย่างนั้น แต่ประเด็นคือแค่บุคคลท่านนึง ผมต้องคอยมานั่งฟังผู้ใหญ่ในครอบครัวมาตักเตือน จริงๆ มันไม่ค่อยแฟร์นะครับ
ห่วงความรู้สึกลูก?
เบนซ์ : ใช่ จริงๆ แม่ๆ ที่โรงเรียนเราไปส่งลูกทุกวัน เขาเจอเราทุกวัน เบนซ์ไม่ห่วงแม่ๆ ที่โรงเรียนเลยนะ เพราะเขาเห็นเบนซ์เดี๋ยวอ้วนเดี๋ยวผอม เห็นทุกพัฒนาการของเรา จนเราค่อยๆ ตัวเล็กลง เขาเห็นหมด ตรงนี้เบนซ์ไม่ห่วง เพราะเขารู้ว่าเบนซ์เป็นคนพูดตรง อันไหนดีก็บอกว่าซื้อ ไม่ดีก็อย่าซื้อ แต่ข้างนอกเอาตรงๆ เลยนะ พอมาอยู่ตรงนี้ จะบอกว่าโกรธไม่โกรธ แต่เบนซ์โคตรเสียใจ การทำงานตรงนี้ ทำให้ชื่อเสียงมันไม่โอเค
มิค : เราสองคนพยายามทุกวิถีทางให้มันอยู่ได้นานที่สุด เพราะเรารัก และเราไม่เคยโกหกใคร ถ้าดีจริงเราจะบอกต่อ แต่ถ้าไม่ดีจริงเราก็พูดตรงๆ วันนั้นวันเกิดเหตุ มิคลองไลฟ์คุยเลย เชื่อมั้ย100 เปอร์เซ็นต์เข้ามาให้กำลังใจ ไม่มีใครเชื่อเลยกับสิ่งที่เป็นข่าวออกไป ทำให้รู้สึกขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจเราสองคน และฝากบอกเบนซ์ให้สู้ๆ เพราะวันนั้นเบนซ์บอกว่าขอนอนก่อน ขอนอนกอดลูกก่อนได้มั้ย
เบนซ์ : (ร้องไห้) เบนซ์รู้สึกว่าเราไม่เคยทำร้ายใครเลย เบนซ์ไม่ชอบเวลาที่รู้สึกว่าเราโดนรังแก บางครั้งเวลาเราทำดี หรือเราพยายามจะไม่ทะเลาะกับใครเลย พอเราเหมือนโดนรังแก เราคิดอย่างเดียวเลยว่าเวรกรรมมีจริงนะ รู้เปล่า (ร้องไห้) ไม่รู้จะพูดยังไง เราพูดไปก็เหมือนแก้ตัว แต่เราแค่รู้สึกว่าทำอะไรคุณจะได้แบบนั้นเลย ไม่ชอบการโดนรังแก
มิค : จากผมไม่ค่อยโกรธมาก ยิ่งเห็นเขาเป็นแบบนี้ ผมโกรธหนักกว่าเดิม ผมยังไม่เคยทำให้เขาร้องไห้เลย แล้วคุณเป็นใคร มาทำให้ภรรยาผมร้องไห้ ถ้าภรรยาผมผิด ผมเป็นคนแฟร์พอนะ ผมเป็นคนด่าเองซะด้วยซ้ำ แต่ตลอด 20 ปีที่คบกันมา ผมยังไม่เคยทำเขาร้องไห้เลย คุณเป็นใคร
บอกให้เปิดหลักฐานโชว์ไปเลยว่ามีแผลอะไรในตัวบ้าง เบนซ์บอกไม่จำเป็นต้องเปิดหรอก ถ้าคนจะเชื่อเขาก็จะเชื่อเรา แต่ถ้าคนคิดจะแกล้ง เราพูดไปเขาก็หาว่าเราแก้ตัว?
มิค : สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมาก คือเรายังมีความสุขได้ในทุกๆ วัน เพราะกำลังใจจากทุกๆ คนที่หนาแน่นเหมือนเดิม ทำให้รู้ว่าคนที่คล้อยตามที่เป็นข่าว เขาไม่ได้รู้จักเรา และนั่นเป็นคนส่วนน้อย จริงๆ เขาไม่ผิดนะ เต็มที่เลย แต่ถ้าวันนึงคุณรู้ความจริง คุณไม่ต้องขอโทษด้วย แค่คุณเปลี่ยนใจว่าเราสองคนพูดเรื่องจริง ขอแค่คุณคิดแค่นั้นพอ
คนๆ เดียว มาทำร้ายความรู้สึกของคนดีๆ แบบนี้ ทำได้ยังไง?
เบนซ์ : พูดตรงๆ เบนซ์เป็นคนซื่อสัตย์มากนะ ทุกอย่างที่พูดออกไปเบนซ์คิดทุกครั้ง เพราะเบนซ์รู้ว่ามันจะอยู่กับเราตลอดไป แล้วภาพที่ออกไปแล้ว คุณลบให้เราด้วยนะ ถ้าเราไม่ผิด เบนซ์ไม่อยากโกรธเลยนะ มันจริงไม่จริงไม่มีใครรู้เลย แต่พอเปิดไปแล้ว คนครึ่งนึงก็ต้องเชื่อแล้วว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะพอพาดหัวมันพาดแค่นิดเดียว แต่อาจไม่ได้อ่านข้างใน อาจไม่มีใครรู้ความจริงด้วยซ้ำว่าสรุปฉันทำหรือเปล่า ฉะนั้นเบนซ์แค่รู้สึกว่า อย่างที่เบนซ์พูด เวรกรรมมีจริง ขอพูดอีกหลายๆ รอบ ใครคิดไม่ดีหรือคิดจะทำร้ายกัน หรือคุณไม่มีปัญญาทำอะไรที่สู้กันได้ ก็หาวิธีอื่นดีมั้ย ถ้าจะทำแบบนี้ ทำอะไรก็ได้แบบนั้นเลยนะ
เคยมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งอะไรกันหรือเปล่า?
เบนซ์ : ไม่เคยทะเลาะกับใครเลย ให้ตายเหอะ
มิค : ไม่เคยเจอ ไม่เคยรู้จัก เราไม่ชอบทะเลาะกับใคร
คนเชื่อก็มี คนไม่เชื่อก็มี แล้วจะจัดการกับเขายังไง จะฟ้องมั้ย?
มิค : ตอนแรกไม่อยากทำอะไรเลย อยากอยู่ของเราเฉยๆ ให้เรื่องนี้จบไปแล้วมันเงียบ แต่ทีนี้มันไม่จบ เขาก็ยังต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ฟ้องไม่ฟ้อง มิคขอไปปรึกษาทนายอีกทีดีกว่าว่าจะเอายังไง เราไม่อยากทะเลาะกับใครเลย แต่การที่คุณมาทำให้คนที่เรารักต้องมานั่งเสียน้ำตา ทำให้คนที่รักเรา เริ่มมีข้อสงสัยหรืออะไรกับครอบครัวของเรา แล้วมันอาจลามไปถึงลูกๆ ผม ผมก็ไม่รู้ ขอปรึกษาทนายผมก่อน
มีผลกระทบกับเรื่องงานมั้ย?
มิค : มีอันนึง ผมกำลังจะไปทำพิธีกรที่ญี่ปุ่น ผมทำพิธีกรโปรโมตเมืองให้ญี่ปุ่นมาหลายครั้งแล้ว หลายปีด้วย ผมกำลังจะไปสิ้นเดือน หลังเกิดเหตุ รัฐบาลญี่ปุ่นโทรมาหาที่เมืองไทยเลยว่า เกิดอะไรขึ้น เปลี่ยนคนทันมั้ย แต่ดีกว่านั้น คนญี่ปุ่นเองรวมถึงคนที่ดูแลโปรเจกต์นี้ ร่วมด้วยช่วยกัน โดยการโทรมาคุยกับผมตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น พอผมอธิบายทุกอย่าง เขาบอกว่าโอเคขอเวลาแป๊บนึง ขอกลับไปอธิบายทางการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นก่อน อธิบายปุ๊บ 5 นาทีกลับมา บอกว่าโอเค ไฟเขียวทุกอย่างเหมือนเดิม เพราะเขาบอกว่าตลอดหลายปีที่เราทำงานให้ประเทศญี่ปุ่นมา เราไม่เคยมีข่าวเสียหาย แล้วเขาก็คงให้คนญี่ปุ่นที่อยู่ฝั่งเมืองไทยเช็กข่าวแล้ว ทางนี้ก็ยืนยันว่าทางเราไม่มีอะไรเสียหาย เป็นการถูกกล่าวหาเบื้องต้นเฉยๆ เขาเลยบอกไม่เป็นไร บินมาทำงานเหมือนเดิม
อยากบอกอะไรคนคอยซัพพอร์ต?
เบนซ์ : จริงๆ ต้องขอบคุณ พอมีเรื่องเราก็ไปไลฟ์ 99 เปอร์เซ็นต์ดีกว่า ให้กำลังใจ และบอกว่ายังเชื่ออยู่นะ เขารู้ว่าเราพูดจริงๆ นะ ถ้าไม่ดีก็จะบอกว่าไม่โอเค อย่าทำเลย อันนี้ดีกว่า อันนี้ไม่คุ้ม เราก็พูดตรงๆ ก็ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม แค่นี้ก็ดีใจมากๆ แล้ว ขอบคุณมากๆ นะทุกคน
มิค : ตอนแรกที่ออกข่าว ไลน์เครื่องเดียวของมิค 6 พันกว่าข้อความ ทุกคนส่งมาแบบไม่เชื่อ มีอะไรให้ช่วยบอก ที่เราเคยเป็นทหาร ตำรวจ เขาก็ติดต่อมาหมดทุกคนจริงๆ ก็ขอบคุณบูมพี่หนิง เพื่อนๆ ทุกคนที่เข้าใจเรา และรู้จักเรา ขอบคุณทุกคนมากกว่าที่ไม่ได้เชื่อทางโน้น เชื่อเราเหมือนเดิม
เบนซ์ : คนที่ไม่เชื่อเบนซ์ก็ไม่ได้อะไรนะ เบนซ์ว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเราเป็นคนยังไง ที่พูดไปมันจริงหรือเปล่า
เป็นแม่ที่ดีแล้ว ดูแลลูกดีแล้ว เอาใจสามีสักนิดนึง เบนซ์ให้สัญญาว่าจะทำ ตอนนี้เป็นไง?
เบนซ์ : ดีขึ้นแล้วค่ะ (หัวเราะ) ไม่ได้กอดหอมทั้งวัน แค่ใส่ใจเขามากขึ้น
อยู่กันเหมือนเพื่อน แต่ความรักอาจไม่ได้เติมเต็มแบบคนรักขนาดนั้นแล้ว?
เบนซ์ : ตั้งแต่มีลูก ไม่ได้เป็นคนนั่งติดกัน มุ้งมิ้ง
มิค : ตั้งแต่มีลูกไม่เลย
เบนซ์ : มีลูกแล้วหนักเลย ไม่ทำเลย เด็กๆ ไม่เคยเห็นว่าเราเป็นแฟนกัน
มิค : เรากอดหอมกัน ลูกมาแทรกตรงกลางเลยนะ ตกใจ เพราะลูกไม่เคยเห็น โอบเฉยๆ ก็ไม่ได้ ปริมตกใจ หวงแม่ ปรางหวงพ่อ ถ้าพ่อกับแม่กอดกันก่อนไปทำงาน ปรางกระโดดถีบขาคู่เบนซ์เลย ปล่อยพ่อเดี๋ยวนี้ ส่วนปริมหวงแม่ร้องไห้
เบนซ์ : ทุกวันต้องนอนเกาะกับลูกเป็นลิง วันนั้นได้คุยอะไรกับพี่มิค ก็นอนดูหนังดีกว่า พ่อเขาก็นั่งของเขา เบนซ์นอนตักพี่มิคเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร ปริมตื่นออกมา เหมือนเขาช็อกว่าพ่อแม่ออกมาทำอะไรกัน ทำไมต้องนอนตักด้วย เขาตกใจ เป็นสิ่งประหลาดในชีวิตเขา ตอนแรกก็คิดว่าจริงเหรอวะ มันเป็นหนักมาก ไม่เคยเห็นพ่อแม่รักกัน วันนั้นเขาร้องไห้เป็นเรื่องเป็นราวเลย ก็เลยบอกว่าปริมพ่อแม่รักกันมากนะ เราเป็นแฟนกัน การที่แม่มานอนตักพ่อไม่ใช่เรื่องผิดปกตินะลูก เขาก็บอกว่าทำไมต้องออกมานอนตอนหนูหลับ ทำไมไม่กอดหนูเหมือนเดิม แม่ไม่รักหนูแล้วเหรอ เขาไม่เข้าใจเลย เขาคิดว่าแม่ต้องเป็นของเขา นอนก็ต้องอยู่กับเขา อันนี้เหมือนเราทิ้งเขาไป เขาไม่เคยเห็น อันนี้ก็คิดว่าเหมือนเราทำผิด จริงๆ เราควรให้ลูกเห็นว่าบ้านนี้เรารักกันนะ บ้านนี้เรากอดเรารักกันนะ
มิค : สำหรับคู่เรา เราคิดว่าครอบครัวสำคัญที่สุด ดังนั้นการกอดกัน แตะเนื้อต้องตัวกันคือการแสดงความรัก ตอนนี้ก็กอดเอย หอมเอย แต่นางไม่ชอบให้ทำต่อหน้าคนอื่น พอทำบ่อยขึ้น ลูกแทนที่จะโกรธ ก็กลายเป็นเรื่องสนุกไปแล้ว
เบนซ์ : ก่อนหน้านี้ที่ไม่ให้เขากอด เราไม่เซลฟ์
มิค : ผมก็พูดตลอด ต่อให้คุณมีเนื้อมีหนัง ผมก็รักของผม แต่ตอนนี้เราเข้าใจมุมเขาแล้ว ต่อให้มิครัก แต่เขาไม่มั่นใจในตัวเขาเอง เรื่องเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว หน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนี้นางมั่นใจมาก เจอแบบนี้จะไม่อยากเข้าไปหอมได้ยังไง แบบนี้ผมชอบครับ (หัวเราะ)
เบนซ์ : เบนซ์ไม่รู้ใครเป็นเหมือนเบนซ์มั้ย แต่ตอนที่เบนซ์รู้สึกว่าตัวเองไม่มั่นใจ จับไปก็มีห่วงยาง เรารู้สึกว่าไม่ต้องจับได้มั้ย เราไม่สบายใจ ไม่ได้รังเกียจเขานะ ช่วงนั้นเราทำให้เขารู้สึกว่าเขาโดนรังเกียจ แต่ไม่ใช่
มิค : แค่แตะตัวก็สะบัดออกเลยนะ
เบนซ์ : เชื่อว่าคุณแม่หลายคนเป็น คุณแม่หลังคลอดก็น่าจะเป็นเยอะ ตอนไม่ได้หุ่นแบบนี้ แขนก็ไม่ได้เห็น แค่ใส่เสื้อเข้าไปในกางเกงได้ก็ภูมิใจแล้วนะ แต่ต้องออกกำลังด้วย (มิคหอมแขน) เผลอไม่ได้เลย แล้วเป็นคนแบบเนี้ย ชอบแกล้ง
ติดตามชมรายการคุยแซ่บ Show ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31