ดื่มชาตอนไหนดีที่สุด เสริมประโยชน์ร่างกาย ช่วยย่อย-กระตุ้นสมอง
เคล็ดลับสุขภาพยั่งยืน กินชาตอนไหน ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ช่วยส่งเสริมสุขภาพในด้านต่าง ๆ พร้อมแนะนำเวลาที่ไม่ควรดื่มชา อาจทำลายสุขภาพร่างกายได้โดยไม่รู้ตัว แม้ชาจะเป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณมหาศาล แต่หากกินมากเกินไปหรือเลือกทานผิดเวลา ก็อาจส่งผลร้ายได้มากเช่นกัน ในบทความนี้เราได้รวบรวมวิธีการเลือกช่วงเวลาดื่มชาที่ดี่ที่สุดมาฝากกัน ถ้าพร้อมแล้วตามเข้ามาดูในนี้กันได้เลยครับ
ดื่มชาเวลาไหนของวันดีที่สุด
เวลาที่เราควรรับประทานชานั้น มีอยู่สองเวลาด้วยกัน ได้แก่ตอนเช้าและตอนเย็น หลังอาหารไปประมาณ 2- 3 ชั่วโมง เหมาะสมที่สุด เพื่อช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร และส่งผลให้วิตามินที่จำเป็นต่าง ๆ ภายในอาหารก็จะถูกน้ำย่อยสลายไปและดูดซึมเข้าร่างกายเพื่อใช้ประโยชน์ในลำดับถัดไป
ทั้งนี้เราก็ควรที่จะดื่มชาที่พึ่งชงเสร็จใหม่ ๆ เนื่องจากคุณประโยชน์ของชาร้อนนั้นจะมีมากกว่าชาที่เย็นหรืออุณภูมิปกติ เพราะสารคาเทซินส์ (Catechins) อาจจะถูกดักจับและกลายเป็นกรดแทนนิน ทำให้ชาจากที่จะมีรสชาติอ่อน กลายเป็นฝาดและส่งผลต่อเนื่องถึงระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ได้
นอกจากนี้ยังชวรดื่มชาร้อนประมาณ 4 ถ้วยต่อวัน เพื่อช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เนื่องจากชาร้อนนั้นจะมีสารไฟโตเคมีคอลที่ช่วยให้ระบบฟันและกระดูกแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ส่วนในช่วงเวลาเย็นที่เหมาะสมกับการดื่มชานั้นจะอยู่ที่ประมาณบ่าย 3 โมง ช่วงนี้ชาจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน แถมยังช่วยลดโอกาสเป็นหวัดด้วย ต่อมาหากเป็นช่วงก่อนเข้านอน แนะนำให้กินเป็นชาสมุนไพร จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับได้สบายมากขึ้น
ดื่มชาตอนไหนส่งผลเสียต่อร่างกาย
ปกติชานั้นจะมีฤทธิ์เป็นเครื่องดื่มที่ให้คาเฟอีน ทำให้เราไม่ควรที่จะดื่มชาในช่วงเวลาก่อนนอนกลางคืน เพราะร่างกายของเราจะถูกกระตุ้นด้วยสารคาเฟอีนจนตื่นตัว และอาจนำไปสู่ปัญหาการนอนไม่หลับได้ รวมถึงหากกินชามากจนเกินไป ควรระวังเรื่องระดับสารออกซาเรทในร่างกาย เพราะสายชนิดนี้มีการรายงานว่ามีผลต่อสุขภาพของไต
ดังนั้น จึงขอแนะนำหากจะดื่มชาจริง ๆ ให้ดื่มเป็นชาสมุนไพรเสียดีกว่า เนื่องคาเฟอีนนั้นมีต่ำ และยังช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย
ประโยชน์อื่น ๆ ของการดื่มชา
- ช่วยการเผาผลาญไขมันระหว่างการออกกำลังกาย
- ช่วยขับสารพิษออกทางปัสสาวะ
- ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย ทำให้สามารถย่อยอาหารจำพวกวิตามินต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
- ช่วยเพิ่มสติในการโฟกัสสิ่งต่าง ๆ
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ลดโอกาสการเป็นมะเร็ง
- ช่วยลดความดันในเส้นเลือด
อ้างอิง: bbcgoodfood