สธ. กางสถิติ ไทยฉีดแอสตราเซเนกา 20 ล้านคน พบลิ่มเลือดอุดตัน 7 ราย
กระทรวงสาธารณสุข กางสถิติ ไทยฉีดแอสตราเซเนกา 20 ล้านคน พบลิ่มเลือดอุดตัน 7 ราย เสียชีวิต 2 ศพ เผยจะเกิดอาการหลังรับวัคซีนไม่เกิน 42 วัน
จากกรณีที่สำนักข่าว ดิอินดีเพนเด้นท์ รายงานว่าบริษัทยาแอสตราเซเนก้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนแอสตราเซเนก้าออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่าวัคซีนของทางบริษัทสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่างทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดหัวใจอุดตัน-ภาวะเกล็ดเลือดต่ำนั้น
นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าวว่า เรื่องของผลข้างเคียงจากวัคซีนแอสตราฯ เป็นสิ่งที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยรับทราบมาก่อนอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาเรามี คณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องของการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มที่เหมาะสมอยู่
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปในช่วงที่มีการนำวัคซีนเข้ามาใช้ วัคซีนทุกชนิดที่ถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นแบบ การใช้ในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Use) เพื่อยับยั้งการระบาดของโรค ซึ่งวัคซีนตัวแรกที่ใช้คือ วัคซีนเชื้อตายของซิโนแวค ขณะที่ ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปไม่ยอมรับวัคซีนดังกล่าว จะอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนก้า เท่านั้นที่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ ส่วนวัคซีน mRNA ก็ยังไม่ได้มีการผลิตออกมาใช้
“ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนแอสตราฯ ทั้งหมด 48 ล้านโดส โดย 1 คน ฉีด 2 โดส ดังนั้นมีผู้รับวัคซีนประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งเข็มสุดท้ายที่ฉีดคือเมื่อเดือนมี.ค.2566 ขณะที่ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังการฉีดวัคซีนจะเกิดขึ้นหลังการรับวัคซีน 5-42 วัน เท่านั้น หากภาวะลิ่มเลือดอุดตันเกิดขึ้นหลังจากนั้น ไม่น่าจะใช่อาการที่เกิดจากวัคซีน จึงขอให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนดังกล่าว อย่ากังวล ซึ่งภาวะดังกล่าวหลังการฉีดวัคซีนนั้นเกิดขึ้นได้ทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทย ก็มีรายงานผู้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังการรับวัคซีนแอสตราเซเนก้า 23 ราย แต่คณะอนุกรรมการพิจารณาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลักการรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พิจารณาแล้ว พบว่ามีผู้ป่วยลิ่มเลือดอุดตันที่เข้าข่ายอาจเกิดจากวัคซีน 7 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 2 ราย” นพ.ธงชัย กล่าว
นพ.ธงชัย กล่าวต่อถึงแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทยว่า การดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ดำเนินการตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยช่วงก่อนหน้านี้ ดำเนินการภายใต้ภาวะฉุกเฉินซึ่งขณะนั้นโรคโควิด-19 ถูกประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง การจัดหาวัคซีนจึงใช้งบประมาณของแผ่นดินและฉีดให้กับประชาชนฟรีเพื่อยับยั้งการระบาดของโรค
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สำหรับโรคโควิด-19 ในประเทศไทยถูกยกเลิกให้เป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว อีกทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ จึงไม่ได้มีการจัดสรรให้ฟรีประชาชน แต่ก็อยู่ระหว่างการพิจารณา ว่าจะมีการฉีดให้กับกลุ่มที่มีความจำเป็น ได้หรือไม่เช่น บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง ยากไร้ ในลักษณะของความสมัครใจ เพราะอยากรู้ผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง ยังมีข้อมูลพบว่า ผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุด
“วัคซีนที่มีการใช้ในประเทศไทยก่อนหน้านี้เป็นแบบ Emergency Use รัฐต้องจัดหามาฉีดให้กับประชาชน แต่ตอนนี้สถานการณ์คลี่คลายโรคโควิด-19 ไม่ใช่โรคติดต่ออันตรายอีก การใช้วัคซีนจะต้องอยู่ในรูปแบบของวัคซีนในภาวะปกติคือจะต้องเป็นวัคซีนที่ผ่านกระบวนการ ศึกษา ผลดีผลเสีย ผลกระทบต่างๆ และนำมาขออนุญาตขึ้นทะเบียนใช้ กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งขณะนี้มีวัคซีนเพียงตัวเดียวที่ขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะปกติในประเทศไทยก็คือ วัคซีน mRNA ของไฟเซอร์” นพ.ธงชัย กล่าว
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานข่าวว่าวัคซีนmRNA มีผลกระทบ เกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในร่างกาย นพ.ธงชัย กล่าวว่า วัคซีนที่มีการนำเข้ามาใข้ก่อนหน้านี้ เป็นการใช้ภายใต้ภาวะฉุกเฉิน ก็มีผลกระทบ ผลข้างเคียง ตัวนี้ก็จะเจอผลกระทบมากแถวอเมริกา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ปลัด สธ. เผยทราบเรื่องผลข้างเคียง ‘แอสตราเซเนก้า’ อยู่แล้ว
- ‘ชลน่าน’ ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ยอดโควิดเพิ่มหลังสงกรานต์
- โอมิครอน KP.3 โควิดกลายพันธุ์ตัวใหม่ มาแทนที่ JN.1 พบในไทยแล้ว 2 ราย