ป.ป.ช. ฟัน ‘ศุภชัย โพธิ์สุ’ ผิดจริยธรรมร้ายแรง ครองที่ดินโดยมิชอบ
ป.ป.ช. ลงดาบ ศุภชัย โพธิ์สุ ผิดจริยธรรมร้ายแรง ครองที่ดินของรัฐ น.ส. 2 โดยมิชอบ เตรียมทำเรื่องศาลฎีกาให้วินิจฉัยต่อไป
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญเกี่ยวกับกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน เพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีกล่าวหา นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ และส.ส.นครพนม ยึดถือครอบครองและเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส. 2 หรือใบจอง ในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โดยการซื้อที่ดินและไม่มีหลักฐานใบจองที่ดิน จำนวน 40 แปลง เนื้อที่ 220 ไร่
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า นายศุภชัย โพธิ์สุ ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 51 กรณีเข้ารับตำแหน่งรมช.เกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 52
และกรณีเข้ารับตำแหน่งส.ส.นครพนม เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 62 โดยแจ้งว่าครอบครองที่ดินประเภทใบจอง (น.ส. 2) ในท้องที่ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จำนวน 40 แปลง เนื้อที่รวม 220 ไร่
จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อปี 2532 ถึงปี 2534 นายศุภชัย โพธิ์สุ ซึ่งเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการจัดสรรที่ดิน และเป็นผู้ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินและใบจองในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย
ได้ซื้อที่ดินโดยทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับประชาชนผู้ได้รับจัดสรรที่ดินและได้รับใบจอง (น.ส. 2) ให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินชั่วคราวในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย จำนวน 40 แปลง เนื้อที่รวม 220 ไร่ ทั้งที่ที่ดินดังกล่าวไม่สามารถโอนหรือซื้อขายเปลี่ยนมือได้ เว้นแต่ตกทอดโดยมรดก
หลังจากที่มีการส่งมอบใบจองและการครอบครองที่ดินให้นายศุภชัยแล้ว นายศุภชัยได้เข้าทำประโยชน์โดยปลูกต้นยางพาราเต็มพื้นที่ต่อเนื่องเรื่อยมา แม้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจะมีคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินและใบจองเดิมสิ้นสิทธิในที่ดิน และออกจากที่ดินและจำหน่ายสิทธิใบจอง ตามมาตรา 32 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 56 วันที่ 5 ก.ย. 65 และวันที่ 22 ก.ย. 65
ภายหลังมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ใช้บังคับ
การที่นายศุภชัย โพธิ์สุ ซึ่งดำรงตำแหน่งรมช.เกษตรและสหกรณ์ และส.ส.นครพนม และยังดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง มีหนังสือ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 และวันที่ 12 ก.ค. 66 ขอสละสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงที่ผู้ว่าฯ นครพนม ได้มีคำสั่งจำหน่ายใบจองที่ดินดังกล่าว จึงไม่มีผลให้การยึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินประเภทใบจอง (น.ส. 2)
ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย โดยการซื้อที่ดินและไม่มีหลักฐานใบจองที่ดิน (น.ส. 2) รวมทั้งไม่มีคุณสมบัติในการที่จะได้ที่ดินตามระเบียบว่าด้วย การจัดที่ดินเพื่อประชาชน ลงวันที่ 24 ส.ค. 2498 ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายศุภชัย โพธิ์สุ ไม่เป็นความผิดแต่อย่างใด
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้ การกระทำของนายศุภชัย โพธิ์สุ เป็นการครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ของรัฐ
ทั้งยังเป็นการกีดกันผู้ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองหรือมีอยู่แล้วแต่เป็นจำนวนน้อยไม่พอเลี้ยงชีพ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 7 และข้อ 17 ประกอบข้อ 3 และข้อ 27
และข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 9 และข้อ 10 ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ต่อไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง