หนุ่มร้อง ‘สายไหมต้องรอด’ หลังถูกตำรวจขับรถชน อ้างรถหลวงไม่มีประกัน
หนุ่มร้อง สายไหมต้องรอด หลังถูกตำรวจขับรถชน รถยนต์เสียหายยับ ผ่านมา 1 เดือนคดีไม่คืบ อ้างรถหลวงไม่มีประกัน อยากได้ค่าเสียหายไปฟ้องเอาเอง
นายกฤษณพัทธ์ อายุ 22 ปี เข้าติดต่อเพจ สายไหมต้องรอด หลังถูกตำรวจรายหนึ่ง ยศ ร.ต.อ. สภ.นครหลวง ขับรถพุ่งชนท้ายรถพ่วง ก่อนเสียหลักกระเด็นข้ามเลนมาชนกับรถยนต์ของตน จนได้รับความเสียหาย ซึ่งผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว คดีไม่มีความคืบหน้า
โดยผู้เสียหายเปิดเผยว่า เหตุเมื่อวันที่ 15 มีนาคม เวลาประมาณตี 3 ตนขับรถมาตามเลนปกติ จากเส้นนครหลวง กำลังมุ่งหน้าไปท่าเรือ ระหว่างนั้นเจอรถตำรวจขับสวนเลนมาด้วยความเร็ว ก่อนจะเสียหลักพุ่งชนท้ายรถพ่วงที่จอดอยู่ข้างทาง กระเด็นมาชนบริเวณกระโปรงหน้ารถของตนจนพังเละ โดยในรถวันเกิดเหตุ มีตนและแฟนสาว พร้อมกับเด็กอีก 2 คน หนึ่งในนั้นคือลูกชายวัย 2 ขวบ ที่ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณโหนกแก้ม
หลังเกิดเหตุตำรวจคนดังกล่าว แจ้งว่า กำลังจะขับรถกลับบ้าน แต่เผลอหลับใน เลยเกิดอุบัติเหตุ แต่ข้อมูลจากคนขับรถพ่วง พบว่า หลังเกิดเหตุเห็นตำรวจคนดังกล่าวโยนถุงสีดำลงป่าข้างทาง ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นถุงอะไร อีกทั้งผู้เสียหายสังเกตเห็นลักษณะของตำรวจคนดังกล่าวพูดจา ไม่รู้เรื่อง เหมือนคนเมา
เหตุการณ์ผ่านมาเกือบ 1 เดือน แต่คดียังไม่มีความคืบหน้า สอบถามไปยัง สภ.นครหลวง ร้อยเวรกลับแจ้งว่า ติดต่อตำรวจรายนั้นไม่ได้เหมือนกัน โดยตำรวจรายนั้นแจ้งแค่ว่ารถตำรวจเป็นของหลวง ไม่มีประกัน ไม่มี พ.ร.บ. ถ้าอยากเรียกร้องค่าเสียหายต้องฟ้องเอาอย่างเดียว ซึ่งตนประกอบอาชีพขับรถส่งของ ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ที่จะต้องหาเช่ารถมาใช้ชั่วคราว ระหว่างนำรถเข้าไปซ่อมที่อู่ ตนจึงมาร้องขอความช่วยเหลือจากเพจสายไหมต้องรอด เพราะต้องการให้ทางตำรวจคนดังกล่าวออกมาแสดงความรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
ด้านนายนิรันดร์ เกแง้ว ผู้ร่วมก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เผยถึงกรณีนี้ว่า ทุกวันนี้ยานพาหนะของตำรวจที่ใช้ขับขี่ตามท้องถนน พอเวลาเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมาทางประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็ต้องมารับผิดชอบเอง ไม่รู้ว่าใช้อภิสิทธิ์จากไหนมาใช้ เบื้องต้นได้ประสานไปยัง สภ.นครหลวง เพื่อติดตามคดีแล้วทราบว่าอยู่ระหว่างการดำเนินคดีกับรถพ่วงในวันเกิดเหตุ เพราะถือว่าจอดในพื้นที่ห้ามจอด ส่วนเหตุที่คดีล่าช้านั้นเป็นเพราะอยู่ระหว่างการรวบรวมความเสียหายของรถทั้ง 3 คันในวันเกิดเหตุ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง