ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ 9 นาย โดน 157-พ.ร.บ.อุ้มหาย ทำร้าย ‘ลุงเปี๊ยก’
ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ 9 นาย มีความผิด 157 และ พ.ร.บ.อุ้มหาย จากกรณีที่ทำร้ายและทรมาน บีบบังคับให้ลุงเปี๊ยกสารภาพ คดีป้าบัวผัน
นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน ตามมาตรา 31 แห่ง พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ร่วมประชุมร่วมกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ในคดีที่ดีเอสไอรับสอบสวนเป็นคดีพิเศษ คดีลุงเปี๊ยก หรือกรณีที่ ลุงเปี๊ยก ปัญญา คงแสนคำ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีอาญาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พรบ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
นายวัชรินทร์ ให้สัมภาษณ์ว่า คณะทำงานนี้เป็นคณะทำงานระหว่างทีมอัยการซึ่งอัยการสูงสุดตั้งทีมคณะทำงานชุดนี้พร้อมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ วันนี้เป็นการประชุมเพื่อลงมติ เพื่อสรุปว่าจะแจ้งข้อกล่าวหากับตำรวจคนใดบ้าง ซึ่งมีการประชุมกันมาตั้งแต่บ่ายจนได้ข้อสรุปเรียบร้อย
โดยที่ประชุมมีมติเเจ้งข้อหาแบ่งเป็นระดับผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรอรัญประเทศ รองผู้กำกับสืบสวน สารวัตรสืบสวนและรองสารวัตรสืบสวน ซึ่งอันนี้คือกลุ่มผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้อง และอีกกลุ่มคือกลุ่มที่กระทำความผิดโดยตรงในห้องสอบสวนมีตำรวจชั้นประทวน 3 นาย รวมทั้งหมด 9 นาย
หลังจากนี้ก็ขจะเป็นหน้าที่ดีเอสไอในการออกหมายเรียก แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาทั้งหมด 9รายโดยกำหนดวันนัดให้มารับทราบข้อกล่าวหาคือวันที่ 7-9 พ.ค. นี้ เพราะเราให้เวลาในการเตรียมตัวมาพบพนักงานสอบสวน การแจ้งข้อกล่าวหาจากการสรุปวันนี้เป็นเพียงการพิจารณาจากหลักฐานตัวผู้เสียหายคือลุงเปี๊ยก และพยานในที่เกิดเหตุและพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งมีทั้งนักข่าวและตำรวจในที่เกิดเหตุพยานหลักฐานดังกล่าวเราเห็นว่าเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา
ซึ่งภายหลังเเจ้งข้อกล่าวหา ผู้ต้องหายังมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใดๆ ก็ตามมาเเสดงว่าชี้เเจงได้ เพราะทีมงานของเราทำการสอบสวนด้วยความบริสุทธิ์ตรงไปตรงมาเราจะไม่เอาพยานหลักฐานเเค่ส่วนเดียว เราจะเปิดโอกาสให้ผู้กล่าวหาชี้เเจง ส่วนระยะเวลาในการสรุปสำนวนส่งอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตเมื่อไหร่นั้น เรื่องนี้ เราสอบสวนพยานได้หลายปากแล้วจนมีแนวทางสรุปจนจะเเจ้งข้อกล่าวหาเเล้ว เพราะเวลานี้การสอบสวนพยานหลักฐานได้เกือบครบถ้วนจึงมีการเเจ้งข้อกล่าวหาไม่ใช่นำผู้ต้องหาเป็นตัวนำ ก็เเสดงว่าพยานหลักฐานเพียงพอเเล้วคดีก็จะถูกส่งไปที่อัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตภาค2 ส่วนหลังเเจ้งข้อกล่าวหาต้นเดือน พฤษภาคมเเล้วจะสรุปสำนวนส่งอัยการเมื่อใดเราก็ต้องดูว่าทางผู้ต้องหามีพยานหลักฐานให้คณะทำงานสอบสวนเเค่ไหน ไม่ใช่เขาขอให้เราสอบพยานเเล้วไม่สอบให้ ต้องสอบว่าผู้ต้องหามีพยานหักล้างเเค่ไหนเเล้วจึงค่อยสรุปสำนวนอีกครั้งว่าจะเห็นควรสั่งฟ้องใครไม่เห็นควรสั่งฟ้องใครบ้าง
ในส่วนที่เราสอบสวนพยานหลักฐานฝ่ายของลุงเปี๊ยกก็ให้การ เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีจนเชื่อเเละเเจ้งข้อกล่าวหาได้
ขณะที่นายน้ำแท้ เลขานุการรองอัยการสูงสุด ฐานความผิดที่เราเริ่มพิจารณาก็คือตั้งแต่มีการจับตัวลุงเปี๊ยกไปทำให้สูญเสียอิสรภาพ และเมื่อควบคุมตัวแล้วก็ไม่มีการแจ้งให้กับอัยการ หรือฝ่ายปกครองทราบตรงนี้ก็คือการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ และภายหลังมีการควบคุมตัวแล้วก็ไม่นำลุงเปี๊ยกไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนทันที แต่กลับนำเขาไปทรมานก็ถือว่าเป็นการกระทำความผิดตาม พรบ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ
ส่วนจะเข้ามาตราไหนบ้างก็จะพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้งในวันแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนพฤติการณ์ที่ไม่แจ้งการจับกุมก็เป็นในส่วนของการปกปิดชะตากรรม ทำให้เขาไม่ได้รับสิทธิ์ ในการประกันตัวในการพบญาติเเละทนายความ ทำให้สิทธิ์ของลุงเปี๊ยกหายหมดเลยไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งเป็นความผิดตามพรบ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ในส่วนความผิดที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพเราก็จะดูว่าถ้าพบการกระทำผิด เราก็ต้องแจ้งข้อหาในส่วนนี้อีก เพื่อให้ผู้ต้องหาให้การต่อสู้ ก็เท่ากับความผิด 3 ข้อหาคือ 157, ข้อหาตามพรบ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ เเละความผิดต่อเสรีภาพกรณีหน่วงเหนี่ยวกักขัง
ด้านนายอังศุเกติ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรมกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า โดยหลังจากนี้เราจะดำเนินการออกหมายเรียกผู้ต้องหาให้เร็วที่สุดคาดว่าจะเป็นหลังวันหยุดสงกรานต์นี้เลยให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 7-9 พ.ค.นี้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง