ตั้มหอบหลักฐานเด็ดเจอ ‘เรวัช’ รอบ 2 ชี้สัญญาณจากนายกฯ ไม่สนปราบทุจริต
ทนายตั้ม หอบหลักฐานไปสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ พร้อม 2 พยานสำคัญ สายลับและพิมพ์วิไล เข้าพบ เรวัช ช่วยตรวจสอบเอาผิด ประเด็นกล่าวหาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเอี่ยวรับเงินส่วยระดับท็อป
ความคืบหน้ามหากาพย์หอบหลักฐานของ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ยื่นร้องเอาผิดคดีส่วยกับ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ล่าสุดวันนี้ (9 เม.ย.67) นักกฏหมายเจ้าของข้อมูลแฉส่วยตำรวจได้เดินทางไปที่สำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำหลักฐานเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น “สเตทเมนต์” หรือผังอะไรต่าง ๆ มายื่นให้กับชุดของพล.ต.ท. เรวัช กลิ่นเกษร อดีต ผบช.ปส. ในฐานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับคดีความผิดวินัย ซึ่งมี พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ เกี่ยวข้องกับพิรุธเส้นทางการเงินตามที่กล่าวอ้าง
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงความแตกต่างของหลักฐานที่นำมานั้น มีความแตกต่างอย่างไรจากของเดิมซึ่งเคยนำมายื่นที่สำนักงานจเรตำรวจรอบแรก เมื่อวันที่ 3 เม.ย.67 ที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้ ทนายษิทราก็กล่าวให้ความชัดเจนว่า เป็นข้อมูลเส้นเงินชุดเดิมแต่ว่า มีความละเอียดมากขึ้น
ทนายตั้มยังอ้างอีกว่า หลักฐานชุดล่าสุดนี้จะช่วยให้คณะกรรมการตรวจสอบตำรวจทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะตนเองรวบรวมข้อมูลมาอะไรต่อมิอะไรเพิ่มเติมไว้ให้เกือบหมดแล้ว
ส่วนถามว่าเม็ดเงินเป็นจำนวนเท่าไหร่ ? นักกฏหมายวัย 42 ปีตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “มหาศาลมาก” เป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท
ขณะที่เรื่องของความคาดหวังหลังจากมายื่นเรื่องกับพล.ต.ท. เรวัช ทนายตั้มยอมรับว่าตนค่อนข้างมั่นใจ เพราะ “ท่านเรวัช” เป็นคนตรงไปตรงมา ผิดก็คือผิด คงไม่มีการกลั่นแกล้งหรืเอื้อประโยชน์หรือช่วยเหลือใคร
ส่วนประเด็นความคืบหน้าคดีที่ไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับ สน.เตาปูน ทนายตั้มกล่าวว่า ดูจากการสอบปากคำพยานหนที่แล้ว ทำให้ฝั่งของนักกฎหมายตั้งข้อสสัยว่าอาจจะมีการเอื้อประโชน์ให้กับบุคคลอื่นหรือใครหรือไม่ เนื่องจากพยานที่ตนเองพาไปนั้นเป็นระดับพยานปากสำคัญเพื่อดำเนินคดีกับระดับผบ.ตร. มีการคุยกันเป็นชั่วโมง แต่กลับพิมพ์คำให้การแค่กระดาษ 1 หน้า และที่บันทคกใคำให้การไปนั้นเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ต้องหาหรือไม่ ทำให้เตรียมจะตัดปัญหา เพื่อความครบถ้วนของหลักฐาน ตนจะนำตัวพยานไปให้การเพิ่มเติมให้ครบในเรื่องของรายละเอียดทุกอย่าง เพื่อตัดปัญหาในชั้นพนักงานสอบสวนที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับ ผบ.ตร.
นอกจากนี้ ทนายตั้ม ยังบอกว่า คณะกรรมการชุดของท่านเรวัช มีอำนาจหน้าที่สอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้แล้วก็พิจารณาโทษทางวินัยฯ
สำหรับกระแสข่าว พ.ต.อ.สุรเดช ฉัตรไทย ผู้กำกับการ สน.เตาปูน จะลาออกจากตำแหน่งนั้น ตนเชื่อว่ามีความกดดันตั้งแต่แรก และตนไปแจ้งความเอาผิดบิ๊กตำรวจ ในความผิดเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์อีก รวมทั้งมีกระแสข่าวว่าจะมีการโอนสำนวนคดีไปให้หน่วยงานอื่นทำแทน อาจกลัวว่าจะถูกตรวจพบความผิดที่ตนได้ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งตามจริงแล้ว เว็บพนันเป็นความผิดทั่วราชอาณาจักร จะแจ้งความที่ไหนก็ได้ แต่ที่เลือกมาแจ้งความที่ สน.เตาปูน เพราะว่าเป็นความผิดแบบเดียวกัน ซึ่งพนักงานสอบสวนมีข้อมูลอยู่แล้ว ถ้าหากมีการโอนคดีโดยมิชอบ ตนก็จะแจ้งดำเนินกับผู้โอนคดีเช่นกัน
ส่วนข้อสงสัยของนักกข่าวที่ถามถึงความคิืหน้าหลังจาก ทนายตั้ม เคยเรียกร้องเรื่องนี้ไปถึง เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ถึงตอนนี้ทางฝั่งของตัวนายกฯ เองได้ส่งสัญาญาณหรือมีความคืบหน้าอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ทนายตั้ม กล่าวว่า สัญญาณที่ส่งไปนายก ฯ ปรากฏทนายตั้มอ้างนายกฯ ไม่ได้สนใจเรื่องการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นเลย มีแต่คำสั่งให้ตำรวจเร่งสร้างผลงงาน
นายษิทรา ยังยกตัวอย่างที่วันนี้มักจะเห็นแต่ข่าวเร่งจับกุมผู้ที่มีส่วสนเกี่ยงข้องกันง่ายดาย ซึ่งตรงนี้ทนายก็อ้างว่า เพราะทางำตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่พอเรื่องนี้เงียบ ทุกอย่างก็เข้าอีหรอบเดิม ที่เห็นไล่จับก็เพราะกระแสของสังคมตื่นตัวกันเท่านั้น สักพักทุกคนก็กลับเข้ามารับตำแหน่งเดิมกันเหมือนเดิม
ขณะที่เมื่อนักข่าวถามทนายตั้ม คิดว่าเรื่องนี้จะมีการเกี้ยเซี้ย (แบ่งผลประโยชน์) กันหรือไม่ ? เจ้าตัวก็ไข่ความกระจ่างทันทีและยังได้พาดพิงไปถึงบุคคที่สามด้วย
“แน่นอนครับนะ ก็อย่างนายกรัฐมนตรีเขาก็ต้องเกรงใจพี่ชายของพล.ต.อ ต่อศักดิ์ เขาก็ไม่กล้าที่จะมาแตะเรื่องนี้อยู่แล้ว” นายษิทรา ระบุ
ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ก่อนที่ ทนายตั้ม ะจเข้าไปพบกับ พล.ต.ท.เรวัช เพื่อให้้ขอมูลพร้อมกับหลักฐาน เจ้าตัวยังตอบคำถามนักข่าว กรณีทราบผลการตรวจสอบของคณะกรรมการชุดนี้ ซึ่งหากพบผิดจริงจะมีโทษทางวินัยถึงขั้น ปลดหรือไล่ออกจากราชการนั้น ต้องใช้เวลากี่วัน ? ประเด็นนี้ ทนายตั้ให้ข้อมูลว่า น่าจะไม่เกิน 60 วัน โดยหลังจากวันนี้ คณะกรรมการก็ต้องเรียกตำรวจที่เกี่ยวข้องมาให้การต่อไป (สัมภาษณ์ทนายตั้ม ตั้งแต่นาที 2:45:00 เป็นต้นไป).
ขอบคุณคลิป : ข่าวช่อง 8
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง